11 ตุลาคม วันเด็กสากล ‘หมออ๋อง’ รับหนังสือ ลั่นช่วย 'กลุ่มเด็กชาติพันธุ์'
‘หมออ๋อง’ รับหนังสือวันเด็กสากล เดินหน้าพลักดันการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐาน ‘กลุ่มเด็กชาติพันธุ์’ เพื่อความเท่าเทียม เผย นักศึกษามน.ฝึกงาน-ทำงานไม่ได้ เหตุไม่มีสถานะ ลั่นเดินหน้า หารือสภา-ส่งต่อครม.-นายกฯ
ที่อาคารรัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 รับยื่นหนังสือจาก น.ส.พรทิพย์ รุ่งเรือง ตัวแทนเครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์เพื่อการพัฒนา นำโดย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.พรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล เพื่อนำเสนอสถานการณ์ปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบายของเด็กเยาวชน เครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์เพื่อการพัฒนา เนื่องในงานวันเด็กหญิงสากล ประจำปี 2566
ด้วยองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย โดยในวันที่ 11 ตุลาคม ของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันเด็กหญิงสากล เพื่อให้ทั่วโลกรณรงค์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับสิทธิและโอกาสสำหรับเด็กหญิงให้ได้รับการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา ความไม่เท่าเทียมทางเพศ การศึกษา รวมทั้งการพัฒนาด้านสุขภาพ
ในปี2566 องค์การแพลนอินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มูลนิธิพัฒนาชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์ (พชช.) เครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์เพื่อการพัฒนา และมูลนิธิพัฒนานานาเผ่าไร้พรมแดน ร่วมกันจัดทำโครงการส่งเสริมสิทธิวันเด็กหญิงสากลเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Girl Takeover 2023) ระหว่าง วันที่ 9- 12 ต.ค. 2566
ซึ่งเป็นช่วงเวลาในการร่วมเฉลิมฉลองรณรงค์ในแคมเปญ “Girl Takeover 2023” เพื่อให้เด็กเยาวชนหญิงได้เกิดความภาคภูมิใจ ได้แสดงความคิดเห็นบทบาทของผู้หญิงในการทำงานด้านสถานะบุคคลและสิทธิ รวมทั้งเป็นการสนับสนุนบทบาทความเป็นผู้นำสู่การเปลี่ยนแปลงในกลุ่มเยาวชนหญิง กลุ่มผู้หญิงที่เป็นกลุ่มเปราะบางและประสบกับปัญหาความไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ในการนี้ ทางเครือข่ายจึงขอนำเสนอสถานการณ์ประเด็นปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฏร เปิดเผยภายหลังรับหนังสือว่า ตนมีความเข้าใจในเรื่องนี้ และเดือนที่แล้วได้รับหนังสือเรื่องความเดือดร้อนของนักเรียน และได้พบกับนิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.)ที่ไม่สามารถฝึกงานและทำงานได้เนื่องจากไม่มีสถานะ จึงเข้าใจในประเด็นนี้และปริมาณของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องนี้ก็มีมาก
เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นในเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) แต่เป็นเรื่องของการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่จะทำให้ไปสู่ความเท่าเทียมกันอีกหลายเรื่อง ทั้งการสาธารณสุข การคมนาคม การหางานหาอาชีพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการปกป้องไม่ให้ถูกเอารัฐเอาเปรียบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และ ต้องทำความเห็นที่ชัดเจนไปถึงนายกรัฐมนตรี
โดยหลังจากนี้จะได้หารือกันกับทางเครือข่าย ทั้งกลไกของสภาและการทำความเห็นจากฝ่ายสภาไปยังคณะรัฐมนตรี(ครม.)ซึ่งตนจะดำเนินการทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อให้ข้อเสนอของประชาชนที่ต่อสู้ในเรื่องนี้มายาวนานได้สำเร็จในเร็ววัน
