ข่าว

หนุ่มวัย 33 ปี สูญเสียตับไป 1 ใน 3 ส่วน จากเครื่องดื่มยอดฮิตที่หลายคนชอบดื่ม

หนุ่มวัย 33 ปี สูญเสียตับไป 1 ใน 3 ส่วน จากเครื่องดื่มยอดฮิตที่หลายคนชอบดื่ม

12 ก.พ. 2568

ช็อก! หนุ่มวัย 33 ปี ไม่ดื่ม-ไม่สูบ ต้องรอเปลี่ยนตับ 1 ใน 3 ส่วน หลังป่วย ไขมันพอกตับ หมอชี้สาเหตุสำคัญ จากเครื่องดื่มยอดฮิต ที่ไม่ใช่เหล้าเบียร์

เครื่องดื่มที่ทำลายสุขภาพโดยเฉพาะ “ตับ” ไม่ได้มีเพียง “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เท่านั้น แต่อาจรวมไปถึงเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของใครหลายคน ที่ดื่มเข้าไปและกลายเป็นอันตรายต่อร่างกาย

 

“เฉิน” ผู้ป่วยชายชาวจีนรายหนึ่งป่วย “โรคตับ” โดยที่ไม่ดื่ม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” หรือสูบบุหรี่ แต่เขามีปัญหาสุขภาพที่หนักถึงขั้นต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับ โดย ในตอนที่อายุ 33 ปี คุณเฉินเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นโรคไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ แต่ไม่ใส่ใจและไม่รักษา 

 

ต่อมาอายุ 47 ปี เขาต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน เพราะอาเจียนเป็นเลือดและปวดท้องรุนแรง ผลการตรวจพบว่าตับของเขาหดตัวเหลือแค่ 1 ใน 3 ของขนาดเดิม และมีอาการตับแข็งอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้เขาต้องรอคิวเพื่อผ่าตัดเปลี่ยนตับ

แพทย์อธิบายว่า "โรคไขมันพอกแม้จะเริ่มต้นจากอาการไม่รุนแรง แต่หากไม่รักษาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มันจะทำให้เกิดตับแข็งได้เร็วขึ้น โดยเฉลี่ยทุกๆ 7.7 ปี โรคตับแข็งจะทวีความรุนแรง และอาจถึงขั้นตับแข็งเต็มที่ภายใน 30 ปี"

 

เหตุผลที่ทำให้โรคตับของคุณเฉินลุกลาม คือการที่เขาชอบดื่มน้ำหวานหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ทั้งน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลเยอะ แม้จะได้รับคำเตือนจากแพทย์ว่าเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคตับไขมัน เขาก็ยังคงดื่มต่อไป

 

"การดื่มน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลมากเกินไป เป็นสาเหตุหลักของโรคไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ เกิดการอักเสบ และอาจนำไปสู่โรคตับแข็ง" คุณหมออธิบาย

นอกจากโรคตับแล้ว การดื่มน้ำหวานยังสามารถนำไปสู่โรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจได้ และคนที่มีโรคไขมันพอกตับจากการดื่มน้ำหวาน จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ตับแข็ง หรือภาวะตับล้มเหลว ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิต โดยโรคไขมันพอกตับมักมีอาการเหนื่อยล้า ปวดท้องข้างขวา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ผิวหรือดวงตาเป็นสีเหลือง และมีระดับเอนไซม์ตับสูงในการตรวจเลือด

 

เพื่อป้องกันโรคไขมันพอกตับ และโรคตับอื่นๆ คุณหมอแนะนำให้รักษารูปแบบการรับประทานอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ควบคุมการลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินความจำเป็นหรือการบริโภคอาหารที่เป็นอันตราย

 

ข้อมูลจาก : soha