บช.น. ส่งหนังสือจี้ ป.ป.ช. ขอคืนสำนวนคดี "บิ๊กโจ๊ก" ภายใน 4 มิ.ย. นี้
บช.น. ส่งหนังสือจี้ ป.ป.ช. ขอคืนสำนวนคดี "บิ๊กโจ๊ก" ภายใน 4 มิ.ย. ย้ำ! หากไม่รีบคืนในกำหนด อาจเหตุเสียหายต่อราชการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีหนังสือที่ ตช 0015.(น.2)/6763 ลงนามโดย พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. ส่งถึงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง ขอรับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 391/2566 ของ สน.เตาปูน โดยเนื้อหาสรุปว่า
ตามหนังสืออ้างถึง คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 54/2566 ได้ส่งสำนวนคดีอาญาที่ 391/2566 ของ สน.เตาปูน ซึ่งในเขตอำนาจของศาลอาญาและอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวน มายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาสำนวนการสอบสวนกรณีที่มีผู้มากล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับพันตำรวจโทคริษฐ์ ปริยะเกตุ และนางสาวเบญจมิน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดในข้อหาใดๆ บรรดาที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามและขอรับคืนกลับมายังพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย
เนื่องจากบัดนี้เลยกำหนดระยะเวลาตามกำหนดที่พนักงานสอบสวนได้ระบุไว้ในหนังสือตามที่อ้างถึงแล้ว แต่ท่านยังมิได้ส่งสำนวนในส่วนที่มีผู้ต้องหาหลายคน ซึ่งได้กระทำความผิดและอยู่ในอำนาจของศาลอาญา คืนกลับมายังพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด โดยสำนวนคดีอาญาที่ 391/2566 ปรากฏชัดแจ้งว่า เป็นคดีที่กล่าวหาได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ น.ส.อัญชลี กับพวกรวม 22 คน ว่าได้ร่วมความผิดต่อบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การพนันฯ
และเป็นลักษณะสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ อันเป็นข้อหาที่ไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีกทั้งการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้นเป็นการกระทำความผิดอาญาอีกรรมหนึ่ง จึงมิใช่ความผิดที่เกี่ยวข้องกันที่สามารถจะดำเนินการไปในคราวเดียวกันกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต2561 มาตรา 28(1) (2) และ (4) ประกอบมาตรา 30 วรรคสอง
ดังนั้น ความผิดฐานฟอกเงินดังกล่าว จึงไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 83/2565 ลงวันที่ 27 ก.ค. 2565 โดยสำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐเป็นผู้นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนา
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่ 391/2566 ได้ดำเนินคดีและรวบรวมพยานหลักฐานมาเป็นระยะเวลาพอสมควร และได้ความปรากฏชัดแล้วว่า กลุ่มผู้ต้องหามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงถึงกัน และใช้บัญชีธนาคารของบุคคลอื่นเป็นจำนวนมากในการกระทำความผิดอาญา ซึ่งแม้จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย แต่จากพยานหลักฐาน ก็มิได้ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ และได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการได้ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
จึงเป็นคดีที่มีได้ขอให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐเพราะได้กระทำผิดในการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงย่อมรับผิดเฉพาะเหตุฉกรรจ์ซึ่งต้องรับโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนด ตามกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินบัญญัติไว้ด้วยเหตุและผลดังกล่าว คดีอาญาที่ 391/2566 ของ สน.เตาปูน จึงไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา และอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวน
ซึ่งแม้คดีที่อ้างถึงจะมีพฤติการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ปั่นป่วนคดี เพื่อให้กระทบถึงกระบวนการยุติธรรมอันเป็นการคุกคามดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ขอออก หมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ต้องหาที่ 22 ซึ่งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ระบุเหตุ และแจ้งพฤติการณ์ดังกล่าวให้ปรากฏแก่ศาลอาญาแล้ว
ดังนั้น การที่ศาลอาญาออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น ย่อมหมายความถึงเพื่อให้พนักงานสอบสวนได้ตัวผู้ต้องหามาทำการสอบสวนและดำเนินคดีต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในความผิดฐานร่วมกับฟอกเงินฯ ซึ่งอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการสอบสวนได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานดังกล่าวแก่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 มาตรา 134/3 และมาตรา 134/ 4 แล้ว ผู้ต้องหาทั้งหมดอยู่ในอำนาจการควบคุมของพนักงานสอบสวน โดยการสอบสวนคดีนี้จะต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดในการเสนอความเห็นทางคดี ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมผู้ต้องหานั้นไปยังพนักงานอัยการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140และมาตรา 142
แต่พนักงานสอบสวนไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายต่อไปได้ เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่มีการส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้กลับคืนมายังพนักงานสอบสวน จึงเรียนมายังท่านเพื่อขอรับสำนวน ของ สน.เตาปูน คืนกลับมายังพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ได้แนบรายงานกระบวนพิจารณากรณีขอออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย มาประกอบเอกสารการขอรับสำนวนคดีคืนจากท่านแล้วด้วย
สำหรับคดีนี้ผู้ต้องหาบางรายถูกจับกุมและเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2566 โดยได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวน จึงเป็นเหตุให้มีกำหนดระยะเวลาสำหรับการปล่อยชั่วคราวเพื่อทำการสอบสวนให้เสร็จสิ้น จนถึงกำหนดศาลประทับรับฟ้อง
ทั้งนี้ ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 113 ซึ่งการขยายระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย เป็นกรณีมีเหตุจำเป็นแต่ต้องมิให้เกินหกเดือน ซึ่งระยะเวลาหกเดือนดังกล่าว ใกล้จะครบกำหนดในวันที่ 6 มิ.ย. 2567 นี้แล้ว
แต่หากท่านมิได้คืนสำนวนให้แก่พนักงานสอบสวนภายในกรอบเวลาตามกฎหมาย เพื่อให้มีการฟ้องคดีได้ภายในกำหนดระยะเวลา ย่อมอาจเป็นเหตุเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางราชการได้ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนจึงขอรับสำนวนคดีในส่วนที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคืน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายภายในวันที่ 4 มิ.ย. 2567