ข่าว

แบงก์ชาติ เร่งสกัดบัญชีต้องสงสัย สั่งระงับบัญชี – เข้มเปิดบัญชีใหม่

แบงก์ชาติ เร่งสกัดบัญชีต้องสงสัย สั่งระงับบัญชี – เข้มเปิดบัญชีใหม่

13 มิ.ย. 2567

แบงก์ชาติ เร่งสกัดบัญชีต้องสงสัย สั่งระงับบัญชี – เข้มเปิดบัญชีใหม่ เตรียมปิดบัญชีม้ากว่า 2 แสนบัญชี พบโอนเงิน 5 ทอด

13 มิ.ย.2567 นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  เปิดเผยถึง ปัญหาภัยทุจริจทางการเงินในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565 - 31 พ.ค. 2567 พบว่า มีภัยทางการเงินสะสมรวม 5.4 แสนคดี สร้างความเสียหายกว่า 63,000ล้านบาท โดยพบมากที่สุดคือ การหลอกลวงลงทุน 36% หลอกโอนเงิน 28%  ทั้งนี้พบว่าหากเป็นการโอนเงิน กู้เงิน แอปดูดเงินมีรวมกว่า 3 แสนคดี

 

 

ส่วนการเปิด "บัญชีม้า" เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลักในการรับส่งเงิน จากการหลอกลวงทุกประเภท พบว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี.ค. 2566 - เม.ย. 2567 มียอด "บัญชีม้า" ถูกอายัดแล้วเกือบ 2 แสนบัญชี โดยกว่า 30% เป็นบัญชีเปิดใหม่ โดยพบว่าบัญชีม้าส่วนใหญ่ เมื่อรับเงินมาแล้ว มีการโอนต่อไปอีก 5 ทอด

กลุ่มที่ 1 : การยกระดับการจัดการ "บัญชีม้า" โดยปรับจากการดำเนินการระดับ "บัญชี" เป็นระดับ "บุคคล" รวมถึงการจัดการบัญชีต้องสงสัยได้เร็วขึ้น และดำเนินการเข้มข้นขึ้นทั้งบัญชีในปัจจุบันและการเปิดบัญชีใหม่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

 

 

1) การกวาดล้าง "บัญชีม้า" ในระบบ ด้วยการจัดการทุกบัญชีในทุกธนาคารของเจ้าของบัญชีต้องสงสัย โดยธนาคารจะใช้ข้อมูลจาก 3 แหล่ง ได้แก่

  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • ระบบข้อมูล Central Fraud Registry (CFR) 
  • ข้อมูลบัญชีที่ธนาคารตรวจสอบว่า มีพฤติกรรมต้องสงสัย เช่น บัญชีที่โอนเงินเข้า - ออกมูลค่าน้อยในเวลาสั้น ๆ หลายครั้งก่อนมีเงินโอนเข้า-ออกมูลค่าสูง

 

เพื่อจัดระดับความเสี่ยงในการดำเนินการกับบัญชีเหล่านั้น ซึ่งทุกธนาคารจะมีมาตรฐานเดียวกัน เช่น การระงับการใช้บัญชีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทันที พิสูจน์ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามระดับความเสี่ยง ซึ่งจะทำให้การกวาดล้างบัญชีม้าทำได้ครอบคลุมและรวดเร็วขึ้น

 

 

2) การเพิ่มความเข้มงวด ในการเปิดบัญชีใหม่ให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อป้องกันการเกิด "บัญชีม้า" ใหม่ โดยธนาคารจะตรวจสอบความเสี่ยงของลูกค้าจากฐานข้อมูล 3 แหล่งข้างต้น

 

 

หากพบลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงมาเปิดบัญชี ทุกธนาคารต้องดำเนินการตามระดับความเสี่ยงด้วยมาตรฐานเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับเข้มข้น ไม่ให้เปิดบัญชีผ่านช่องทางออนไลน์ ให้เปิดบัญชีแบบมีเงื่อนไขไม่ให้ใช้บริการผ่านช่องทาง mobile banking ไปจนถึงการปฏิเสธไม่ให้เปิดบัญชีทุกช่องทาง ทั้งแบบออนไลน์และที่สาขา

 

 

ในการนี้ ธปท. ได้ออกหนังสือเวียน เรื่อง การเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ในกรณีลูกค้ามีความเสี่ยงสูงหรือใช้บัญชีที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อให้ธนาคารนำข้อมูลรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงในระบบ CFR มาใช้ข้ามธนาคาร เพื่อดำเนินการกับบัญชีต้องสงสัยได้ครอบคลุมและรวดเร็ว รวมทั้งเป็นมาตรฐานเดียวกัน

 

 

 

กลุ่มที่ 2 : การมีผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมเพื่อดูแลธุรกรรมของลูกค้าให้ปลอดภัยมากขึ้น ธปท. กำหนดให้ธนาคารมีผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมเพื่อดูแลให้ลูกค้าใช้บริการดิจิทัลได้ปลอดภัยขึ้น ได้แก่ การล็อควงเงินที่ห้ามทำธุรกรรมออนไลน์ โดยการปลดล็อควงเงินดังกล่าวให้ทำได้ยากขึ้น และ/หรือการปรับลดวงเงินต่อครั้ง ในการสแกนใบหน้าการทำธุรกรรมบน mobile banking ต่ำกว่า 50,000 บาท

 

 

นอกจากนี้ ธนาคารแต่ละแห่งจะเสนอบริการเพื่อดูแลลูกค้าเพิ่มเติมได้ เช่น การโอนเงินที่อาศัยบุคคลอื่นช่วยอนุมัติ (double authorisation) การโอนเงินเฉพาะรายชื่อที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะเริ่มเห็นการให้บริการตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2567

 

 

ธปท. มุ่งหวังว่ามาตรการครั้งนี้ จะช่วยจำกัดเส้นทางเดินเงินของกลุ่มมิจฉาชีพและดูแลให้ประชาชนใช้บริการทางการเงินได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามประเมินผลของมาตรการ

 

รวมถึงพร้อมปรับเปลี่ยนมาตรการให้เท่าทันกับภัยรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเงินดิจิทัล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศต่อไป

 

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก : กรุงเทพธุรกิจ,ธนาคารแห่งประเทศไทย