ข่าว

ลุ้น "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 27 ก.ค. นี้ ชมสดที่นี่

เปิดข้อมูล "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" จ.อุดรธานี ลุ้นขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรม 27 ก.ค. นี้ ชมสดจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

26 ก.ค. 2567 ที่ บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เขตเทศบาลนครอุดรธานี เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรจัดเตรียมสถานที่ถ่ายทอดสดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เป็นมรดกโลก โดยพื้นที่นำเสนอประกอบด้วย 2 พื้นที่ คือ 1.อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และ 2.แหล่งวัฒนธรรมสีมา

ภายในงานมีนิทรรศการอุทยานวประวัติศาสตร์ภูพระบาท และยังมีแหล่งมรดกโลกบ้านเชียง มีการแสดงศิลปะวัฒนธรรม เพื่อให้คนที่มาร่วมงานเข้าชม ซึ่งพรุ่งนี้นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการ จ.อุดรธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ จะมาเดินทางมาร่วมชมการประชุมฯ

 

ลุ้น \"อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท\" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 27 ก.ค. นี้ ชมสดที่นี่

นายจรูญ บุหิรัน นายอำเภอบ้านผือ กล่าวว่า สภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (ICOMOS) ได้แจ้งเสนอให้ขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นมรดกโลก ภายใต้เกณฑ์การนำเสนอคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล คือ เกณฑ์ข้อที่ 3 และ ข้อที่ 5 ในกลุ่มภูมิทัศน์วัฒนธรรม และเสนอให้ขึ้นทะเบียนภายใต้ชื่อใหม่ "ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี"

ซึ่งอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จะเป็นแห่งที่ 8 ของประเทศไทย และเป็นแหล่งที่ 2 ของ จ.อุดรธานี ต่อจากมรดกโลกบ้านเชียง โดยจะทราบผลในวันพรุ่งนี้ (27ก.ค. 67) และจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ล่าสุด เพจอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท แจ้งกำหนดการประกาศผลภูพระบาทเป็นมรดกโลก ตรงกับ 27 ก.ค. เริ่มเปิดประชุมตรงกับเวลาในไทย 11.30 น. ภูพระบาทอยู่ในลำดับที่ 6 ภาคเช้าของการประชุม สามารถเข้าชมผ่านลิงก์ (คลิกที่นี่) 

 

เปิดข้อมูล "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" 

 

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่าภูพระบาท ในเขตพื้นที่เมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นเทือกเขาหินทราย อยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดรธานี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ 320 - 350 เมตร สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง มีพืชพันธุ์ธรรมชาติประเภทไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุม

จากการสำรวจทางโบราณคดีที่ผ่านมาได้พบว่าบนภูพระบาทแห่งนี้ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กำหนดอายุได้ราว 2,500 - 3,000 ปีมาแล้ว ดังตัวอย่างการค้นพบภาพเขียนสีอยู่มากกว่า 54 แห่งบนภูเขาลูกนี้ นอกจากนี้ก็ยังพบการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมเขมร วัฒนธรรมล้านช้างและรัตนโกสินทร์ตามลำดับ ซึ่งร่อยรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้กรมศิลปากรจึงดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติขนาดพื้นที่ 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถานไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2524 จากนั้นจึงได้พัฒนาแหล่งจนกลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทในที่สุด และได้มีพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด

 

ลุ้น \"อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท\" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 27 ก.ค. นี้ ชมสดที่นี่

 

ปัจจุบันอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรม มีโบราณสถานในพื้นที่รับผิดชอบซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 78 แห่ง มีภารกิจหลักในการดูแลรักษา อนุรักษ์และพัฒนา และทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโบราณสถานและโบราณวัตถุที่อยู่ภายในพื้นที่อุทยานฯและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งยังเปิดให้บริการในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชนทั่วไป

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่มีจุดเด่นแตกต่างจากแห่งอื่นๆ เนื่องจากโบราณสถานส่วนมากที่พบอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ โดยโครงสร้างแล้วเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อธรณีสัณฐานของพื้นที่ ต่อมามนุษย์ในอดีตได้เข้ามาดัดแปลงเพื่อสนองต่อวัฒนธรรมในแต่ละช่วงสมัย

 

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

 

พ.ศ. 2478 ราชบัณฑิตยสภาประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มี.ค. 2478 ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า “พระพุทธบาทบัวบก” อำเภอบ้านผือ ตำบลเมืองพาน

พ.ศ. 2516 - 2517 คณะสำรวจโบราณคดี โครงการผามอง สำนักงานพลังงานแห่งชาติ ได้สำรวจแหล่งโบราณคดีในพื้นที่โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำเขื่อนผามอง เดินทางมาสำรวจพบแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายแห่งบนภูพระบาท ซึ่งบางแห่งได้เคยสำรวจพบแล้วโดยหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น พุทธศักราช 2524 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 98 ตอนที่ 63 วันที่ 28 เม.ย. 2524 หน้า 1214 ระบุว่า “โบราณสถานพระพุทธบาทบัวบก ที่ภูพระบาท เนื้อที่ประมาณ 19,062 ไร่ ปรากฏว่าเนื้อที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และจำนวนเนื้อที่ตามข้อเท็จจริงคือประมาณ 3,430 ไร่”

พ.ศ. 2531 ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมศิลปากรขณะนั้นมีดำริเห็นควรดำเนินการพัฒนาพื้นที่ของภูพระบาทขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีความพร้อมหลายด้านด้วยกัน อาทิ จำนวนโบราณสถานมากมายทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งประกาศเขตโบราณสถานแล้ว ป่าไม้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และประติมากรรมหินตามธรรมชาติ

พ.ศ. 2532 เริ่มโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น โดยจัดทำแผนงานโครงการและจัดหางบประมาณมาดำเนินการอนุรักษ์หลักฐานทางโบราณคดีและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก

พ.ศ. 2535 กรมศิลปากรกราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535

 

 

ลุ้น \"อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท\" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 27 ก.ค. นี้ ชมสดที่นี่

 

ลักษณะทางธรณีวิทยา

 

พื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น มีลักษณะทางธรณีวิทยาอยู่ในหมวดหินภูพานของหินชุดโคราช เป็นหินทรายสีเเดงของมหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) มีอายุตั้งเเต่ปลายยุคไทรแอสซิค (245 - 208 ล้านปี) - ครีเทเชียส (146 - 65 ล้านปี) จนถึงยุคเทอร์เชียรีของมหายุคซีโนโซอิค (65-5 ล้านปี) โดยชั้นหินทรายนี้วางตัวอยู่บนพื้นผิวของหินมหายุคพาลีโอโซอิกตอนบน (286-245 ล้านปี)

เพิงหินรูปร่างต่างๆ ที่พบในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น เกิดจากการที่ชั้นหินทรายเเต่ละชั้นมีความคงทนต่อการกัดเซาะตามธรรมชาติที่เเตกต่างกัน โดยหินทรายชั้นกลางเป็นหินทรายเนื้ออ่อนที่มีการจับตัวของผลึกเเร่ไม่เเน่น จึงสึกกร่อนจากการกัดเซาะได้ง่ายกว่าหินชั้นบนเเละชั้นล่างซึ่งเป็นหินทรายปนหินกรวดมน เนื้อเเน่นเเข็ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเพิงหินที่มีส่วนกลางคอดเว้าคล้ายดอกเห็ด หรือสึกกร่อนจนเหลือเพียงเสาค้ำตามมุมคล้ายโต๊ะหิน กลายเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตามองดูราวกับว่าก้อนหินเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาวางโดยมนุษย์

ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาลักษณะนี้ มิได้พบเเค่ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเท่านั้น เเต่กระจายตัวอยู่หลายเเห่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่นที่ ภูผาเทิบจังหวัดมุกดาหาร เสาเฉลียง จังหวัดอุบลราชธานี เขาจันทร์งาม จังหวัดนครราชสีมา

 

ตำนานความเชื่อ

 

อารยธรรมที่พบบนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากการศึกษาลักษณะ และเนื้อหาสาระของภาพเขียนสีแล้ว ทำให้นักโบราณคดีมีความเห็นว่า ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในประเทศไทยนั้น มีทั้งภาพการดำรงชีวิตด้วยการหาของป่าล่าสัตว์เเละภาพการทำเกษตรกรรม จึงน่าจะมีอายุในช่วงราว 3,000 – 2,500 ปีมาเเล้ว ซึ่งเป็นสมัยที่มนุษย์รู้จักการทำเกษตรกรรมเเละการทำเครื่องมือเครื่องใช้จากโลหะเเล้ว

ภาพเขียนสีที่พบบนภูพระบาทมีทั้งเเบบเขียนด้วยสีเดียว (Monochrome) คือสีเเดง เเละหลายสี (Polychromes) คือสีเเดง ขาว เหลือง ตัวภาพเเบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

 

  • 1. ภาพเสมือนจริง (ภาพคน, สัตว์, พืช, สิ่งของ)
  • 2. ภาพนามธรรม (ภาพสัญลักษณ์, ลายเรขาคณิต)

 

สีที่นำมาใช้เขียนนั้น สันนิษฐานว่าเป็นสีที่นำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่น ดินเทศ แร่เฮมาไทต์ โดยอาจนำสีที่ได้นี้ไปผสมกับของเหลวที่มีคุณสมบัติเป็นกาว เช่น ยางไม้ เสียก่อนเเล้วจึงนำมาเขียน เพื่อให้สีติดกับเพิงหินทนนาน

 

ลุ้น \"อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท\" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 27 ก.ค. นี้ ชมสดที่นี่

 

ยุคประวัติศาสตร์
 

พื้นที่บนภูพระบาท เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 16 หรือราว 1,400 - 1,000 ปีมาแล้ว ได้รับเอาวัฒนธรรมทวารวดีที่แพร่มาจากภาคกลางของประเทศไทย พร้อมกับคติความเชื่อทางพุทธศาสนา ทำให้เกิดการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ เนื่องในพุทธศาสนาขึ้น ได้แก่ การตกแต่งหรือดัดแปลงเพิงหินให้เป็นศาสนสถาน โดยมีรูปแบบการติดตั้งใบเสมาหินทรายล้อมรอบเอาไว้

ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 15 - 18 อิทธิพลศิลปกรรมแบบเขมร ซึ่งแพร่หลายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้เข้ามามีบทบาทในแถบนี้ ที่ถ้ำพระมีการตกแต่งสกัดหินเป็นรูปพระโพธิสัตว์และรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเขมร ที่วัดพระพุทธบาทบัวบานและที่วัดโนนศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับภูพระบาท มีการสลักลวดลายบนใบเสมาหินทรายเป็นเรื่องพุทธประวัติและชาดก ซึ่งมีลวดลายตามรูปแบบศิลปกรรมแบบเขมร

หลังจากช่วงสมัยทวารวดีและเขมรผ่านไป ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 – 23 วัฒนธรรมล้านช้าง ได้แพร่เข้ามาที่ภูพระบาท พบหลักฐานเป็นพระพุทธรูปเช่น พระพุทธรูปที่ถ้ำพระเสี่ยง ส่วนด้านสถาปัตยกรรมพบหลักฐานที่วัดลูกเขย
 

นิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส”
 

ผู้คนในท้องถิ่นได้นำเอานิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส” มาตั้งชื่อโบราณสถานที่ต่าง ๆ บนภูพระบาท การเที่ยวชมโบราณสถานบนภูพระบาทจึงควรต้องรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ เพื่อจะได้เข้าใจที่มาของชื่อตลอดจนทราบถึงคติความเชื่อของชุมชนได้เป็นอย่างดี

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวความรักอันไม่สมหวังระหว่างนางอุสา ธิดาของท้าวกงพาน กับท้าวบารส ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าเมืองปะโคเวียงงัว โดยเรื่องราวเริ่มจากนางอุสาได้ทำการเสี่ยงทายหาคู่ ด้วยการทำมาลัยรูปหงส์ลอยไปตามลำน้ำ ซึ่งท้าวบารสเป็นผู้ที่เก็บได้ จึงออกตามเจ้าของมาลัยเสี่ยงทายนั้น จนมาถึงเมืองพานและได้พบกับนางอุสา ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน เมื่อท้าวกงพานทราบเรื่องจึงวางอุบายให้มีการแข่งขันสร้างวัดกันภายในหนึ่งวัน โดยผู้ที่แพ้การแข่งขันจะต้องตาย

ฝั่งท้าวบารสเสียเปรียบเพราะมีคนน้อยกว่า จึงใช้เล่ห์กลอุบายนำโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้เพื่อลวงให้ฝ่ายท้าวกงพานคิดว่าเป็นยามเช้าตรู่แล้ว จึงพากันเลิกสร้างวัดและพ่ายแพ้ไปในที่สุด และถูกตัดศีรษะ หลังจากนั้นนางอุสา ได้ไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคเวียงงัว แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งจึงหนีกลับเมืองพาน

ในขณะที่ท้าวบารสไปบำเพ็ญเพียรในป่าเพียงลำพัง ต่อมาเมื่อท้าวบารสทราบเรื่องจึงได้ออกเดินทางไปตามนางอุสา ณ เมืองพาน แต่พบว่านางอุสาได้สิ้นใจเพราะความตรอมใจไปก่อนหน้านั้นแล้ว ท้าวบารสเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงตรอมใจตายตามนางอุสาไป

ลุ้น \"อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท\" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก 27 ก.ค. นี้ ชมสดที่นี่
 

 

 

ขอบคุณข้อมูล : สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ข่าวยอดนิยม