ข่าว

"อ.เจษฎ์" เบรกนิด "ไซยาไนด์" ฆ่า ปลาหมอคางดำ ได้จริง แต่ ผลกระทบอาจรุนแรง

"อ.เจษฎ์" ขอเบรกนิด "ไซยาไนด์" ฆ่า ปลาหมอคางดำ ได้จริง แต่ ผลกระทบอาจรุนแรง ยกงานวิจัย สารพิษไซยาไนด์ กับ ปลานิล มีตกค้างในปลามากน้อยแค่ไหน

จากกรณีที่ รศ.ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์ คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ออกมาเปิดเสนอให้ใช้สารพิษ "ไซยาไนด์" ฆ่า "ปลาหมอคางดำ" ก็ได้เกิดข้อถกเถียงกันมากมายว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งล่าสุด "อ.เจษฎ์" รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า "ไซยาไนด์ ฆ่าปลาหมอคางดำได้จริง ... แต่ผลกระทบน่าจะรุนแรงครับ" 

 

 

โดย "อ.เจษฎ์" ได้อธิบายว่า อาจารย์ท่านคงหมายถึงให้ใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย เมื่อมันหมดหนทางเยียวยาจริงๆ แต่ก็มีผลกระทบตามมาสูงมากครับ ตามคำให้สัมภาษณ์ของ อ.อภินันท์ บอกเชิงกังวลว่า มาตรการต่างๆ ที่นำมาใช้กำจัด ปลาหมอคางดำ อยู่ในขณะนี้นั้น อาจจะไม่ทันการณ์ เพราะปลาหมอคางดำเกิดง่าย ตายยาก อึดทน แพร่พันธุ์ได้เร็ว แพร่ระบาดที่ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าควบคุมไม่ได้ อาจขยายพันธุ์ข้ามไปยังภูมิภาคอื่นๆ อีกไม่นาน จะขึ้นไปถึงชัยนาทและนครสวรรค์ อย่างแน่นอน เลยเสนอว่า หากสถานการณ์เกินเยียวยา ก็อาจใช้ ไซยาไนด์ เป็นมาตรการสุดท้ายในการกำจัด ปลาหมอคางดำ แต่ต้องอยู่เป็นพื้นที่ที่ระบาดหนัก มีการบล็อกพื้นที่ต้นน้ำปลายน้ำ และต้องควบคุมเฉพาะ ไม่ให้ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม 

 

อ.อภินันท์ ระบุด้วยว่า โครงสร้างทางเคมีของ ไซยาไนด์ เป็นประจุลบ (หมายถึงไปจับกับสสารอื่นในน้ำ ตกตะกอน สลายตัวไปได้) พบได้ตามธรรมชาติอยู่แล้ว และจะไม่มีการตกค้าง ไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำ เป็นอีกหนึ่งแนวทาง ที่จะลดความเสียหายให้กับภาคการเกษตร ภาคเศรษฐกิจ ระบบนิเวศและทรัพยากรแหล่งน้ำ ได้อย่างเห็นผล

 

 

ปลาหมอคางดำ

 

ซึ่งส่วนตัวก็ให้ความเห็นว่า ในทางทฤษฎีนั้น เป็นเรื่องจริงที่การใส่ สารไซยาไนด์ ลงไปในแหล่งน้ำจะสามารถฆ่า ปลาหมอคางดำ ได้ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ สารไซยาไนด์ แต่ยังรวมถึงสารเคมีอื่นๆ ที่เคยมีการใช้ "เบื่อปลา" กันในอดีต หรือพวกสมุนไพร เช่น "โล่ติ๊น" หรือ ต้นหางไหล ก็สามารถใช้กับปลาหมอคางดำได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้น ก็ต้องมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำอื่นๆ ตามมาอย่างแน่นอน ที่จะต้องได้รับสารพิษนี้ ตายตามปลาหมอคางดำนั้นไปด้วย และจะทำให้ระบบนิเวศของแหล่งน้ำดังกล่าวที่ใช้ เกิดความเสียหายอย่างหนักได้ ถ้าจะพอใช้ได้ ก็คงต้องเป็นพื้นที่ปิด เป็นบ่อน้ำบ่อปลาส่วนบุคคล ไม่ควรเป็นพื้นที่แหล่งน้ำธรรมชาติ แหล่งน้ำสาธารณะ

 

สอดคล้องกับที่ อ.อภินันท์ ก็บอกไว้เช่นกันว่า ต้องมีการศึกษาเรื่อง "ปริมาณที่เหมาะสม" กับพื้นที่แหล่งน้ำที่จะดำเนินการ และระยะเวลาปลอดภัย ที่จะกลับเข้าไปฟื้นฟูด้วย แต่ผมเห็นต่างตรงที่อาจารย์บอกว่า "ไม่น่าห่วง เพราะสามารถฟื้นฟูเติมปลาไทยลงไปใหม่ได้ ไม่ยาก" ซึ่งผมเห็นต่างว่า มันยากนะครับ ที่เมื่อเราทำลายระบบนิเวศที่ไหนแล้ว จะให้มันกลับมาสมบูรณ์ มีความหลากหลายเหมือนเดิมได้

 

จริงๆ จากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีการรณรงค์จับและทำลายปลาหมอคางดำกันขนาดใหญ่ ในช่วงเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ (หลังจากที่ไม่เคยทำกันมาเลยหลายปี) เริ่มเห็นได้ชัดเจนว่า ได้ผลจริง จำนวนประชากรปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่ออนุญาตให้ใช้เครื่องมือจับปลาเฉพาะ เช่น พวกเรืออวนรุน ก็จับได้เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว

 

ที่ติดขัดกันอยู่ตอนนี้และน่าจะทำเพิ่มก็คือ การอนุญาตให้จับ ปลาหมอคางดำ ในพื้นที่เขตอภัยทานของวัด (ซึ่งยังติดข้อกฏหมาย และความเชื่อทางศาสนา) กับการอนุญาตให้ใช้ เครื่องช็อตไฟฟ้า (ซึ่งติดข้อกฏหมายเช่นกัน แต่จะมีประโยชน์มาก ในพื้นที่ที่เรือไม่สามารถเข้าไปได้ง่าย) ถ้าเพิ่มอีก 2 อย่างนี้ได้ ก็น่าจะกำจัดปลาหมอคางดำได้ผลขึ้นอีกเยอะครับ

 

ข้อมูลจากงานวิจัยในต่างประเทศ ถึงการทดลองใช้ สารพิษไซยาไนด์ กับ "ปลานิล" (เนื่องจากมีการลักลอบใช้กันอยู่) เพื่อดูว่ามีตกค้างในปลามากน้อยแค่ไหน เผื่อมีการนำไปบริโภคกัน 

 

 

\"อ.เจษฎ์\" เบรกนิด \"ไซยาไนด์\" ฆ่า ปลาหมอคางดำ ได้จริง แต่ ผลกระทบอาจรุนแรง

 

 

จากบทความ Toxicity and stability of sodium cyanide in fresh water fish Nile tilapia โดย Enas M. Ramzy ในวารสารวิจัย Water Science ฉบับ Volume 28, Issue 1, October 2014, Pages 42-50 ทำการศึกษาผลของสาร โซเดียมไซยาไนด์ ความเข้มข้น 0.129 มิลลิกรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของ ปลานิล เมื่อเลี้ยงไป 28 วัน โดยดูการทำงานจากเอนไซม์ adenosine triphosphatase (ATPase) ในอวัยวะของปลา คือ ที่เส้นเหงือก ตับ และกล้ามเนื้อ รวมถึงระดับความเสถียรของสารไซยาไนด์ ที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อของปลาซึ่งเก็บแช่เย็นไว้ พบว่า ปลามีพฤติกรรมที่ผิดปรกติไป โดยภายใน 14 วันแรกของการเลี้ยงนั้น ปลาสูญเสียสมดุลร่างกาย มีการหลั่งเมือกออกมามากเกิน ที่บริเวณเส้นเหงือกและผิวหนัง

 

ยิ่งไปกว่านั้น สารโซเดียมไซยาไนด์ ได้ลดปฏิกิริยาของสารเอนไซม์ ATPase ของเนื้อเยื่อที่ทำการศึกษา ตามช่วงเวลาที่ผ่านไป และค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของ ไซยาไนด์ ที่อยู่ในเนื้อเยื่อปลาแช่แข็ง ก็ลดลงเรื่อยๆ โดยไซยาไนด์ในกล้ามเนื้อและตับของปลานั้น หายไปหมดในเวลา  48 ชั่วโมง และในเลือดและเหงือกปลาแช่แข็งนั้น จะหายไปหมดใน 72 ชั่วโมง

 

 

ข้อมูล-ภาพ : Jessada Denduangboripant

 

ข่าวยอดนิยม