ข่าว

"บีทีเอส" แถลงหลังศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ กทม. - กรุงเทพธนาคม ร่วมกันใช้หนี้

"บีทีเอส" แถลงหลังศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ กทม. - กรุงเทพธนาคม ร่วมกันใช้หนี้

30 ก.ค. 2567

"คีรี" ดีใจเป็นชัยชนะที่ต่อสู้ กับ กทม. และกรุงเทพธนาคม มานาน หลังค้างจ่ายค่าจ้างหนี้ 1.2 หมื่นล้าน เตรียมเข้าเจรจา พร้อมเสนอ "จ่ายพรุ่งนี้ได้หรือไม่"

30 ก.ค. 2567 ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท ผู้บริหาร บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส จัดการแถลงข่าว "หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ให้กรุงเทพมหานคร และกรุงเทพธนาคม จ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 รวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อสร้าง และลงทุนมาจนถึงวันนี้ก็ 30 ปี แล้ว เราพยายามที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย จนวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นวันที่ตนรอคอยมาแสนนาน ด้วยความกดดันกับสิ่งที่ลงทุนไป กดดันกับสิ่งที่ต้องไปหาทุนมาให้ได้เพื่อให้การเดินรถไม่หยุดชะงัก เพราะหากรถหยุดเดินไม่เป็นประโยชน์กับใคร บริษัทก็เสียหาย ผู้ว่าจ้างก็เสียหาย โดยเฉพาะคนที่เดินทางเป็นประจำ และใช้ บีทีเอส เป็นประจำก็จะเดือดร้อน ที่จะต้องไปหาการขนส่งระบบอื่นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
 

\"บีทีเอส\" แถลงหลังศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ กทม. - กรุงเทพธนาคม ร่วมกันใช้หนี้


ตั้งแต่วันที่เราไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ก็ต้องควักกระเป๋าเอง ทั้งค่าพนักงาน ค่าพลังงาน และเงินดอกเบี้ยที่ต้องชำระ ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่มาก โดย ตน มีนโยบายแน่นอนที่ไม่ให้เดือดร้อนเท่าที่จะทำได้ และเป็นโชคดีที่สถาบันการเงินให้การสนับสนุนไม่ว่าจะออกเป็นเงินกู้ หรือการนำเงินมาใช้จ่ายในด้านนี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาตลอดเป็นหมื่นๆ ล้าน ทั้งจ่ายค่าพนักงาน จ่ายดอกเบี้ย จ่ายเงินต้น และค่าไฟ

รวมทั้งผู้ถือหุ้นก็ให้กำลังใจ ทุกครั้งที่มีการประชุม ไม่มีผู้ถือหุ้นท่านใดมีความเห็นต่างที่จะต่อสู้ในโปรเจคนี้ เพราะได้แก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพ "ผู้ถือหุ้นปรบมือให้ผมสู้ อย่าท้อแท้"

นายคีรี กล่าวว่า ครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้น เป็นชัยชนะให้กับตัวเองที่ต่อสู้มาโดยไม่ยอมแพ้ ตน ดีใจและเชื่อว่าลูกหนี้เข้าใจแล้ว

 

 

"ในฐานะประธานของ บีทีเอส กรุ๊ป พวกเราทำอะไรตรงไปตรงมาแน่นอน ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ผม ไม่กลับไปรับผิดชอบสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องตลอดเวลา และวันนี้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้อง และหวังว่า กทม.จะเข้าใจเหมือนที่ ผมเข้าใจในคำตัดสิน  และจะเข้าสู่กระบวนการเจรจาว่าจะชำระหนี้ก้อนนี้อย่างไร"

\"บีทีเอส\" แถลงหลังศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ กทม. - กรุงเทพธนาคม ร่วมกันใช้หนี้

นายคีรี กล่าวด้วยว่า การมาแถลงวันนี้ เพื่อให้สื่อไปถึงผู้ลงทุนกับ บีทีเอส เข้าใจว่า การฟ้องร้องเป็นอย่างไร และคำตัดสินเป็นอย่างไร ซึ่งเงินที่ไปฟ้องเป็นหนี้สินของเมื่อ 3ปีที่แล้ว กว่า 12,000 ล้าน แล้วที่ยังค้างอยู่ที่ยังไม่รวมดอกเบี้ยอีก 13,000 ล้าน จึงอยากให้ กรุงเทพธนาคม และกทม. โดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม. กรุณาพิจารณาถึงความเป็นจริง อย่าให้มีความเดือดร้อนมาตกต่อเอกชนต่อไป และสิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น และเชื่อว่า ไม่เคยมีสิ่งนี้เกิดขึ้นมาก่อน

"การแถลงครั้งนี้ ก็เพื่อจะส่งเสียงไปถึงลูกหนี้ ยังมีเวลาอีก 180วัน จะช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายไปอย่างดี อย่าให้เป็นภาระของใครทั้งรัฐบาลและเอกชน เพื่อจะได้เดินรถ เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก"

ส่วนกรณีที่ นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่า กทม. ได้ออกมาบอกว่า จะใช้เงินสะสมของ กทม. จ่ายนั้น นายคีรี ระบุว่า ยังไม่ได้มีการเจรจากัน คงต้องรอทาง กทม.ว่าพร้อมจะเจรจาเมื่อไร และแนวทางการเจรจาอยากได้อะไร เราคงไม่เสนออะไรนอกจากเสนอว่า จ่ายพรุ่งนี้ได้หรือไม่

\"บีทีเอส\" แถลงหลังศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ กทม. - กรุงเทพธนาคม ร่วมกันใช้หนี้

 

ส่วนกรณีกรณีเงินก้อนที่ 3 จำนวน 13,513 ล้านบาท เป็นหนี้ตั้งแต่ พ.ย.65-มิ.ย.67 ซึ่งเป็นหนี้ที่ยังไม่ได้ฟ้องนั้น นายคีรี ระบุด้วยว่า ตน ไม่คิดว่าทาง กทม.จะให้ถึงขั้นฟ้องร้องแล้วต้องจ่ายเงินอีก เพราะการตัดสินครั้งนี้ค่อนข้างชัดเจน และไม่ใช่ว่า เอกชนรับงานรัฐบาลแล้วต้องไปฟ้องเอาเงินทุกครั้งไป และหวังว่าจะเข้าใจถึงเจตนาดีของเอกชนของเราที่ไม่เคยหยุดให้บริการ และเรามีความบริสุทธิ์ใจ และหากเป็นโมฆะ ก็จะเป็นความเสียหายต่อบีทีเอส แน่นอน

นายคีรี กล่าวต่อว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ ก็คงต้องรอให้เขาได้รับคำพิพากษา ซึ่งหากเลย 180 วัน แล้ว กทม. ไม่มีแอ็กชั่นอะไรเลย ก็คงต้องพิจารณาใหม่ แต่ก็เชื่อว่าการฟ้องคงไม่จำเป็นแล้ว ถ้าเป็นเรื่องอย่างนี้แล้ว และยังหาวิธีเพื่อดึงเวลาต่อไป ก็คงไม่ได้เป็นคุณกับประเทศเรา ต้องเสียค่าดอกเบี้ยไปวันละ7ล้านบาท แล้วใครจะรับผิดชอบ และเชื่อว่าเป็นสัญญานที่ดีที่ กทม.จะให้เงินสะสมมาจ่าย เพราะที่เรียกร้อ'ไปก็อยากขอความเห็นใจ เนื่องจากบริษัทรับภาระในการบริการให้กับประชาชน