ข่าว

รู้จัก "เกลือทอง" หรือ "โกลด์ไซยาไนด์" หลังยูสารภาพสั่งผสมอาหารมื้อสุดท้าย

16 ส.ค. 2567

รู้จัก "เกลือทอง" หรือ "โกลด์ไซยาไนด์" หลัง "ยู" สารภาพสั่งสารพิษเกลือทอง ผสมอาหารมื้อสุดท้ายกับ "หมอเก่ง" ไขข้อสงสัยอันตรายแค่ไหน?

จากกรณีที่ “หมอเก่ง” สาวประเภทสองหายตัวจากบ้านที่จังหวัดจันทบุรี ญาติติดต่อไม่ได้กว่า 3 วัน ก่อนประกาศตามหา จนพบว่าเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อนชายคนสนิทภายใน จ.นนทบุรี โดยหมอเก่งยืนยันว่าสมัครใจมาเอง ไม่ได้ถูกทำร้ายหรือบีบบังคับ แต่ยังไม่อยากติดต่อกลับทางบ้าน เพราะมีปัญหากัน

 

ต่อมาพบว่า หมอเก่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลใน จ.พระนครศรีอยุธยา ห้องไอซียู เนื่องจากอาการปวดท้องรุนแรง ไม่รู้สึกตัว หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตลงในที่สุด ช่วง 14.00 น. วันที่ 14 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา

ล่าสุด 16 ส.ค. 2567 เวลา 09.00 น. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ กล่าวอีกว่า นายยูรับสารภาพว่าเป็นคนสั่งเกลือทองมาเอง มีหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งตนเองได้ทำการทดลองสั่งมาเองด้วย ส่วนเรื่องสมัครใจกินเกลือทองหรือถูกบังคับ ในห้องผู้เสียชีวิตอยู่กับนายยู 2 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีหลักฐานอื่น ดูจากหลักฐานและคำให้การเป็นการสมัครใจฆ่าตัวตาย

 

 

ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะเรื่องหนี้สิน ของทั้งคู่ ซึ่งต้องให้ที่แหลมสิงห์เป็นคนสืบสวนว่ามีหนี้สินอะไรบ้าง และให้ทางญาติอธิบายว่ามีหนี้สินอะไรบ้าง ซึ่งนายยูให้การว่ามีหนี้สินจำนวนมาก จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยสั่งอาหารมื้อสุดท้ายกินที่ทจ.นนทบุรี ก่อนที่จะเดินทางออกมา แต่ดูจากข้อความเวลาที่ส่งให้เพื่อนคือเวลาที่อยู่ที่ จ.นนทบุรี

 

affaliate-2

ล่าสุด รองศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ "อาจารย์อ๊อด" อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ เกลือทอง KAu(CN)2 หรือ โกลด์ไซยาไนด์ ระบุว่า

 

 

เกลือทอง  KAu(CN)2 หรือ โกลด์ไซยาไนด์ คืออะไร?

เกลือทอง  KAu(CN)2 หรือ โกลด์ไซยาไนด์ มีฟังก์ชันในการปลดปล่อยไซยาไนด์ปริมาณน้อย และในทางการแพทย์ใช้ในการรักษา ลดการอักเสบและชะลอการลุกลามของโรคในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แต่หากรับประทานไปในปริมาณที่มาก ไซยาไนด์ประจุลบก็จะไปบล็อกไม่ให้เซลล์รับออกซิเจน ทำให้เซลล์ตายและเสียชีวิตได้

 

เกลือทองยังใช้ในวงการ จิวเวลรี่  สำหรับชุบเครื่องประดับ เกลือทอง (KAu(CN)₂) หรือที่เรียกว่า  โกลด์ไซยาไนด์ เป็นสารเคมีที่ประกอบด้วย ทองคำที่ถูกซับลงในรูปแบบของไซยาไนด์ เป็นสารที่มีการใช้งานหลากหลาย ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึง วงการจิวเวลรี่และวงการแพทย์ แต่การใช้งานนั้นต้องระมัดระวังเนื่องจากมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

 

 

 

คุณสมบัติและรายละเอียดของเกลือทอง (KAu(CN)₂) หรือ โกลด์ไซยาไนด์

คุณสมบัติทางเคมี

  • เป็นสารประกอบที่เกิดจากการรวมตัวของทองคำ (Au) กับไซยาไนด์ (CN) โดยมีโครงสร้างโมเลกุลที่เสถียร
  • มีลักษณะเป็นผงสีขาวหรือสีเหลืองจาง ๆ
  • สามารถละลายในน้ำได้ดี ซึ่งทำให้สามารถใช้ในกระบวนการชุบเครื่องประดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

การใช้งาน

  • ในอุตสาหกรรมจิวเวลรี่: ใช้เป็นสารสำหรับการชุบทอง (gold plating) บนเครื่องประดับ เพื่อเพิ่มความเงางามและคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์
  • ในทางการแพทย์: ใช้ในปริมาณที่ควบคุมเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เนื่องจากมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและชะลอการลุกลามของโรค

 

 

อันตรายจากการใช้เกลือทอง (KAu(CN)₂) หรือ โกลด์ไซยาไนด์

อันตรายความเป็นพิษของไซยาไนด์

  • ไซยาไนด์ (CN⁻) เป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง หากรับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก ไซยาไนด์จะไปบล็อกการทำงานของเอนไซม์ cytochrome c oxidase ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหายใจของเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้ ส่งผลให้เซลล์ตาย และหากเกิดขึ้นในระดับสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้
  • ความเป็นพิษจากไซยาไนด์อาจเกิดขึ้นได้จากการสูดดม สัมผัสทางผิวหนัง หรือการกลืนกิน

 

 

 อันตรายในการใช้งาน

  • ในอุตสาหกรรมการชุบเครื่องประดับ การใช้งานเกลือทองจำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด เนื่องจากสารนี้สามารถทำให้เกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน
  • ในวงการแพทย์ การใช้เกลือทองต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดพิษและอันตรายต่อผู้ป่วยได้

 

 

ข้อควรระวังในการใช้ เกลือทอง (KAu(CN)₂) หรือ โกลด์ไซยาไนด์

  • การจัดเก็บ: ต้องจัดเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เก็บในที่แห้งและเย็น ห่างจากความชื้นและสารเคมีที่ทำปฏิกิริยารุนแรง
  • การใช้งาน: ผู้ใช้งานควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือ หน้ากาก และแว่นตา เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสารโดยตรง
  • การกำจัด: ต้องมีวิธีการกำจัดที่ถูกต้อง เนื่องจากไซยาไนด์เป็นสารพิษที่สามารถปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมได้

 

การใช้เกลือทองมีทั้งประโยชน์และอันตรายที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการใช้งานในด้านการแพทย์และอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้