ข่าว

อัยการ หิ้วตัว "หมอเหรียญทอง" และพวก ส่งฟ้องศาลอาญา กรณีตบเด็ก 14

อัยการ หิ้วตัว "หมอเหรียญทอง" และพวก ส่งฟ้องศาลอาญา กรณีตบเด็ก 14

21 ส.ค. 2567

อัยการ นำตัว "หมอเหรียญทอง" และพวกรวม 4 คนส่งฟ้องศาลอาญา ตบเด็ก 14 ปี บังคับสั่งให้แก้ผ้าเดินออกจากโรงพยาบาล เบื้องต้นยังปฏิเสธอยู่ ศาลนัดตรวจหลักฐาน 9 ธ.ค.นี้

กรณีที่เด็กชาย 14 ปี ถูกหมอเหรียญทองตบ ยึด โทรศัพท์ และสั่งให้แก้ผ้าเดินออกจากโรงพยาบาล หลังแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ 

 

วันนี้ 21 พ.ค. ที่ศาลอาญารัชดา พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 4 นำตัว นายแพทย์หรือนายเหรียญทอง แน่นหนา ,นายแพทย์หรือนายเหรียญตรา แน่นหนา ,นางอรพรรณ ระหงษ์ ,นายวุฒิภัทร ทองพรม มายื่นฟ้องเป็นจำเลยที่ 1-4 ต่อศาลในความผิดฐานร่วมกันกรรโชก, ทำร้ายร่างกายผู้อื่น, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย, กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้, กระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่นอันเป็นการรังแกข่มเหง คุกคาม หรือให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ, กระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก

                                             

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2567 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำความผิด จำเลยที่ 1 แยกกระทำผิด กล่าวคือ  

 

1.1 จำเลยทั้งสี่ได้บังอาจร่วมกันข่มขืนใจเด็กชายด.ผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษให้ยอมให้หรือยอมจะให้จำเลยทั้งสี่ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยบังคับให้ผู้เสียหายชำระเงินค่าปรับเรื่องผู้เสียหายสูบบุหรี่ภายในโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จำนวน 5 พันบาทให้แก่จำเลยทั้งสี่ ด้วยการขู่เข็ญว่าหากไม่ชำระเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยทั้งสี่จะยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไว้เป็นประกัน อันเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้เสียหาย จนผู้เสียหายเกิดความกลัว แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่มีเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยทั้งสี่จึงยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไว้เป็นประกัน โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม

 

1.2 จำเลยที่ 1 ได้บังอาจทำร้ายร่างกายเด็กชายดนัยเทพ เย็นใจ ผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษโดยตบไปที่ใบหน้าของผู้เสียหายหลายครั้ง จากนั้นจับแขนผู้เสียหายจูงออกจากห้องโถง อาคาร 3 โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะไปข้างนอกอาคาร ณ บริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน ขณะเดินออกนอกอาคารนั้น จำเลยที่ 1 ตบใบหน้าผู้เสียหายอย่างแรงอีกครั้

ง 

เป็นเหตุให้ผู้เสียหายร้องไห้และได้กล่าวขอโทษจำเลยที่ 1 เมื่อถึงบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน ผู้เสียหายนั่งลงและยกมือไหว้ขอโทษ แต่จำเลยที่ 1 ยังเตะหน้าและบริเวณหลังและใช้เข่ากระแทกที่บริเวณหางคิ้วข้างซ้ายของผู้เสียหายอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายเป็นอันตรายแก่กาย มีบาดแผลถลอกบริเวณคิ้วซ้ายและหางตาซ้าย ขนาดกว้าง 0.2 เซนติเมตร ยาว 0.8 เซนติเมตร มีรอยช้ำรอบบาดแผล ขนาดกว้าง 2.5 เซนติเมตร ยาว 3 เซนติเมตร และมีบาดแผลฟกช้ำบริเวณสะบักข้างซ้าย ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตร รายละเอียดปรากฏตามรายงานความเห็นการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง

 

1.3 ภายหลังเกิดเหตุตามฟ้องข้อ 1.1 และ 1.2 จำเลยที่ 1 ได้บังอาจข่มขืนใจกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย เด็กชาย ด.นามสมมุติ ผู้เสียหาย อายุ 14 ปีเศษ โดยจำเลยที่ 1 บังคับให้ผู้เสียหายถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ออกทั้งหมด โดยผู้เสียหายนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จนผู้เสียหายผู้ถูกข่มขืนใจต้องยอมถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ออกจนหมดอยู่ในสภาพเปลือยกาย จากนั้นจำเลยที่ 1 บังคับให้ผู้เสียหายเดินไปจากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะไปตามถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร อันเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รังแก ข่มเหง คุกคาม หรือให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ เป็นการกระทำทารุณต่อร่างกายหรือจิตใจผู้เสียหาย

 

การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 90, 91, 279 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, 295, 309, 337, 397 พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ.2558 มาตรา 8 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 มาตรา 9 พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 4, 26, 78 บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1015/2565 หมายเลขแดงที่ อ.2008/2566 ของศาลอาญา เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้

 

เหตุตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 เกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

 

ต่อมาเมื่อช่วงเดือนมิ.ย.จำเลยที่ 1-4 ทยอย เข้าพบพนักงานสอบสวน รับทราบข้อกล่าวหา ทำการสอบสวนแล้ว

 

ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธตามฟ้องข้อ 1.1 ส่วนตามฟ้องข้อ 1.2 และ 1.3 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ

               

ก่อนคดีนี้ จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาของศาลอาญา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2566ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1015/2565 หมายเลขแดงที่ อ.2008/2566 โดยศาลพิพากษาให้จำคุก 2 ปีปรับ 2 เเสนบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จำเลยที่ 1 กลับมากระทำความผิดในคดีนี้ อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าว ปรากฏตามสำเนาประวัติการกระทำความผิด กองทะเบียนประวัติอาชญากรท้ายฟ้องหากจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล

 

โดยศาลอ่านเเละอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยทั้ง 4 ให้การปฏิเสธ ศาลนัดตรวจหลักฐาน วันที่ 9 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

 

ภายหลังถูกฟ้อง จำเลยทั้ง 4 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดี ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว