เช็กด่วน ฝีดาษลิง กลุ่มไหนเสี่ยงติด อาการรุนแรง จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรือไม่
เช็กด่วน "ฝีดาษลิง" กลุ่มไหนเสี่ยงติด จนเกิดอาการรุนแรง "หมอยง" ตอบชัด จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ ลักษณะ ตุ่ม แบบไหน เข้าข่าย ฝีดาษวานร
"หมอยง" ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับ "ฝีดาษลิง" หรือ "ฝีดาษวานร" ที่กำลังมีการแพร่ระบาดอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยพบ Clade 1b แล้ว 1 ราย
กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงของโรค
บุคคลที่ติดเชื้อ ฝีดาษวานร แล้ว จะทำให้เกิดโรครุนแรง ที่จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงมีดังนี้
- บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ติดเชื้อ HIV และไม่ได้รับการรักษา กินยากดภูมิต้านทาน โรคเรื้อรังที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำร่างกายอ่อนแอ
- เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี
- บุคคลที่มีผื่นภูมิแพ้เรื้อรัง eczema
- สตรีตั้งครรภ์
การติดต่อของ สายพันธุ์ 1b สามารถติดต่อได้ทางฝ่ายละอองที่ออกมาทางจมูกและปาก และการสัมผัส กับผู้ป่วย การสัมผัสฝอยละออง การติดต่อจึงง่ายกว่าสายพันธุ์ 2b จึงทำให้มีการแพร่ระบาดเกิดขึ้นได้
ความรุนแรงของโรค สายพันธุ์ 1b มีความรุนแรงมากกว่า 2b ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะการติดเชื้อในวัยเด็กและเด็กส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ซึ่งต่างกับผู้ใหญ่ที่มีอายุมาก โดยเฉพาะที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ส่วนใหญ่เคย ปลูกฝี ป้องกัน ฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ มาแล้ว จึงมีภูมิต้านทานข้ามสายพันธุ์ที่มาปกป้องหรือลดอาการของโรคได้บางส่วน
ทำไมผู้สูงอายุจึงไม่จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง
ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เคยได้รับวัคซีนป้องกัน ฝีดาษ มาแล้ว วัคซีนดังกล่าวเมื่อปลูกฝีแล้วสามารถมีภูมิต้านทานต่อไข้ทรพิษได้ตลอดชีวิต และขณะเดียวกันสามารถข้ามไปปกป้องสายพันธุ์ Mpox ได้ด้วยถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อ หรือลดความรุนแรงของโรคลงได้
ประเทศไทย เลิกปลูกฝีอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี พ.ศ 2523 ที่จริงแล้วการปลูกฝีเริ่มปลูกน้อยลงตั้งแต่ปีพ.ศ 2517 และเลิกเป็นทางการในปี 2523 แสดงว่าผู้ที่เกิดหลังปี 2523 จะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการปลูกฝี จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เสี่ยงต่อการติด Mpox ได้มากกว่าผู้ที่เคยปลูกฝีแล้ว
ลักษณะอาการของโรค "ฝีดาษลิง"
ฝีดาษวานร เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 5-14 วัน (ช้ากว่าโควิด 19) โดยจะเริ่มอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนไข้ในโรคไวรัสทั่วๆไป หลังจากมีไข้แล้วประมาณ 1-2 วันก็จะมีตุ่มขึ้น โดยที่ตุ่มที่ขึ้น จะมากหรือน้อย แล้วแต่บุคคล หรือภูมิต้านทานของโรค
ผู้ป่วยจำนวนมากจะมีตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ รอบก้น ในเด็ก จะขึ้นได้ทั่วไป บริเวณไหนก็ได้ ลักษณะของตุ่มที่ขึ้นจะแตกต่างกับสุกใส คือใน ฝีดาษวานร ตุ่มเกือบทั้งหมดจะมีระยะเดียวกัน และจะสุกพร้อมกัน ซึ่งต่างกับสุกใส ตุ่มจะมีหลายระยะ บางตุ่มใสแล้ว บางตุ่มพึ่งขึ้นแดงๆ ตุ่มของฝีดาษจะขึ้นที่มือและเท้า ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า มากกว่าลำตัวซึ่งต่างกับสุกใส จะขึ้นที่ลำตัวมากกว่า
เมื่อตุ่มที่ใสใน ฝีดาษวานร จะบุ๋มตรงกลาง หรือที่เรียกว่า umbilicated lesion ส่วนสุกใสจะมีลักษณะใส ชัดเจน ผู้ที่มีผื่นตามตัวหรือแพ้ง่าย ผื่นจะมีโอกาสขึ้นได้มาก และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การใช้มือไปแกะเกา แล้วมาขยี้ตา ก็อาจจะเกิดรอยโรคขึ้นที่ตา และเยื่อบุนัยน์ตา
ต่อมาก็จะตกสะเก็ด ตุ่มที่เกิดขึ้นรวมทั้งสะเก็ด มีเชื้อไวรัสจำนวนมาก สามารถติดต่อได้ ลักษณะอาการกว่าจะหายหมดใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ จนมั่นใจว่าตุ่มทุกตุ่มหายไป และไม่มีสะเก็ดหลงเหลืออยู่
ผู้สัมผัสโรค จะต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างน้อย 21 วัน ถ้าไม่มีอาการก็ไม่น่าจะติดโรค
จำเป็นจะต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันหรือไม่
คำตอบ คือ ไม่จำเป็น ยกเว้นกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น บุคคลที่จะมีโอกาสสัมผัสกับโรคได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกลุ่ม ชายรักชาย และผู้ที่ชอบสนุก มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จัก รวมทั้งบุคคลที่จะเดินทางไปยังแหล่งระบาดของโรคในแอฟริกา เช่น คองโก
โดยทั่วไปแล้วการระบาด ของ ฝีดาษวานร ในปัจจุบัน ยังไม่ได้ติดต่อกันง่าย อย่างเช่นโควิด การติดต่อจะต้องมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่นเพศสัมพันธ์ นอนเตียงเดียวกัน ในบุคคลธรรมดาทั่วไปจึงมีความเสี่ยงต่ำ
สายพันธุ์ใหม่ที่อาจจะระบาดเข้ามา ถ้าเปรียบเทียบความรุนแรงของโรค ก็ยังน้อยกว่าโควิด 19 ในช่วงระยะแรก ประชากรผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ที่เคย ปลูกฝี แล้ว หรือผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 ก็จะมีภูมิที่สามารถข้ามไปปกป้องฝีดาษวานรได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังป้องกันได้บ้างและลดความรุนแรงของโรคได้
วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีราคาแพงมาก ต้องให้ 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน และการฉีดแบบลดขนาดเข้าผิวหนัง ก็จะทำให้ถูกลง แต่จะต้องรวมกลุ่มคนไปฉีด เพราะขวดหนึ่งที่ฉีด 1 คน 0.5 ml เอามาแบ่งฉีดได้ 4 คน หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 5 คน ก็ยังมีราคาแพง