ปลัดอำเภอเฉลยชัด อดีตครู สร้างห้องขังในบ้าน เอาไว้ดูแลลูกติดยา ทำได้ไหม
ปลัดอำเภอเฉลยแล้ว อดีตครู สร้างห้องขังเอาไว้ในบ้าน เพื่อดูแลลูกติดยาเสพติด ทำได้ไหม ขณะที่แม่เปิดใจ สาเหตุไม่อยากให้ลูกไปอยู่ที่อื่น
5 พ.ย. 2567 จากกรณีที่ นางสารภี อายุ 64 ปี อดีตครู คนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านกับลูกชาย วัย 42 ปี เพียง 2 คน ในตำบลถนนหัก อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ แต่ลูกติดยาเสพติดอย่างหนัก แถมติดพนันออนไลน์ ไม่ทำงานชอบขู่ขอเงิน วันไหนแม่ไม่มีเงินให้ ก็จะโวยวายอาละวาดทำลายข้าวของ ขู่เอาชีวิต เคยขับรถพุ่งชนบ้านพัง
โดยเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 หลอนยาคลุ้มคลั่งอาละวาด แม่จึงแจ้งเจ้าหน้าที่นำตัวส่งบำบัดที่ รพ.นางรอง แต่กลัวว่าหากออกมาจะกลับไปเสพยาบ้าอีก เพราะที่ผ่านมาเคยแจ้งจับ กรณีขับรถชนบ้านพัง แจ้งให้นำตัวส่งบำบัด ทั้งที่ค่ายทหาร รพ. และวัดมากกว่า 10 ครั้ง แต่พอเริ่มดีขึ้นถูกปล่อยออกมาอยู่บ้าน ก็กลับสู่วังวนเดิมทั้งเสพยา เล่นพนันออนไลน์ ทำให้แม่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงและทุกข์ทรมานใจ
จากนั้นวันที่ 26 ต.ค. 2567 จึงจำใจจ้างช่างมาสร้างห้องขังในบ้านพัก พร้อมติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งไวไฟ ทีวี ห้องน้ำส่วนตัว และติดกล้องวงจรปิด เพื่อเตรียมไว้หากลูกออกจาก รพ.ครั้งนี้ก็ตั้งใจจะให้ลูกอยู่ในห้องดังกล่าว เพราะอยากให้ลูกหายจากการติดยาเสพติด ทั้งเพื่อความปลอดภัยของแม่เอง และของชาวบ้านในหมู่บ้านด้วย เพราะกลัวว่าถ้าเขาเสพยาหลอนหนักอาจจะทำร้ายแม่หรือคนอื่น แต่ก็ยังรอทำประชาคมรับฟังเสียงส่วนใหญ่จากชาวบ้าน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าสามารถทำได้หรือไม่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (5 พ.ย.67) ปลัดอำเภอนางรอง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ อัยการนางรอง สำนักงานคุมประพฤติ ตำรวจ สาธารณสุขอำเภอ รพ. และฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่บ้านอดีตครูที่ทำห้องคล้ายห้องขัง เพื่อสอบถามรายละเอียดข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแนวทางการดูแลรักษาลูกชายที่ติดยาเสพติด และอาจมีภาวะจิตเวชด้วย ว่า จะดำเนินการดูแลรักษาอย่างไร
โดยนายธนธรณ์พล ไขว้พันธ์ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า จากข้อมูลที่ทางอำเภอ และ รพ.ไปควบคุมตัวผู้ป่วยจิตเวช ที่มีอาการคุ้มคลั่งมาดูแลบำบัดมากกว่า 100 ราย กรณีที่มีการรับแจ้งทางหน่วยงานอำเภอ ก็จะมีชุดเฉพาะกิจและมีศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับผู้ป่วยจิตเวชโดยเฉพาะอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็จะมีการร้องเรียนและร้องขอผ่านมายังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ โดยจะมีปลัดอำเภอฝ่ายศูนย์ดำรงธรรม เป็นต้นเรื่องที่คอยรับเรื่องก่อนจะประสานให้ชุดเฉพาะกิจลงไปประเมินสถานการณ์และนำผู้ป่วยไปรักษา ซึ่งการรักษาทั้งหมดนั้นก็จะอยู่ที่หมอจิตเวชซึ่งโรงพยาบาลนางรอง ก็จะมีอยู่ 2 ท่าน หากอาการหนักก็จะส่งไปโรงพยาบาลบุรีรัมย์ รวมทั้งศูนย์บำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวชโคราชและศูนย์ขอนแก่นตามลำดับ
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่บำบัดออกมา ก็จะมีอาการที่อ่อนตัวลง หรือไม่หนักเท่ากับตอนที่ยังไม่ได้บำบัด สำหรับรายนี้ ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่หนักมาก กรณีนี้ทางหมอจิตเวชและหน่วยงาน จะต้องหารือกันว่าจะนำส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่นหรือไม่ ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองทางเจ้าหน้าที่จะลงไปพูดคุยทำความเข้าใจช่วงบ่ายวันนี้
ส่วนเรื่องการทำห้องคล้ายกรงขังไว้ในบ้านนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะเข้าข่ายในเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยว ผิดกฎหมายไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว แต่จะหาแนวทางดูแลช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย
ทั้งนี้ ทีมข่าวยังได้ลงพื้นที่ ไปพูดคุยกับ นางสารภี ผู้เป็นแม่อีกครั้ง ยืนยันว่าที่ตัดสินใจจ้างช่างมาทำห้องคล้ายกรงขัง เป็นเพียงความคิดในฐานะแม่ที่อยากจะดูแลลูกชายด้วยตัวเอง ให้เลิกยาเสพติดและการพนันเท่านั้น ไม่มีเจตนาจะกักขัง เพราะเคยส่งบำบัดหลายครั้ง ก็ยังไม่ได้ผล กลับมาก็เป็นเหมือนเดิมอีก
ที่สำคัญ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และคนในหมู่บ้านด้วย เพราะที่ผ่านมาลูกเคยมีพฤติกรรมทั้งอาละวาด ยิงปืนขู่ ขับรถชนบ้านพัง และทำร้ายภรรยาถึงขั้นเข้า รพ.มาแล้ว แต่หากหน่วยงานภาครัฐบอกว่า ไม่สามารถทำได้ ก็อยากให้หาแนวทางบำบัดรักษาลูกให้หายเป็นปกติ ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก
ด้าน นางสารภี เปิดใจ ลูกชายเสพยาบ้าตั้งแต่อายุ 16 ปี เคยพาไปบำบัดมาโดยตลอด แต่ลูกชายเลิกยาไม่ได้ หนำซ้ำช่วงหลังยังติดพนันออนไลน์ ขอเงินเอาไปเติมเงินในโทรศัพท์และไปซื้อยาบ้ามาเสพวันละ 300-500 บาท จนทำให้เงินที่จะใช้ภายในครอบครัวขาดสภาพคล่อง เพราะเงินเดือนบำนาญ เหลือเพียง 4,000-5,000 บาทเท่านั้น เพราะสามีได้เสียชีวิตไปแล้ว
ตอนนี้ลงทุนสร้างกรง หมดไปกว่า 12,000 บาท กะว่าจะให้ลูกไปอยู่ในกรง โดยมีแม่คอยให้ข้าว ให้ยาลูกกิน หวังจะไม่ให้ชาวบ้านต้องกังวลใจที่ลูกเราคลั่งยาบ้า โดยหมอให้ไปรับตัวในวันที่ 6 พ.ย.นี้ แต่ชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่สบายใจ เจ้าหน้าที่จะมีการประชาคมหมู่บ้านว่า จะให้อยู่หรือไม่เพราะเกรงเรื่องความปลอดภัย ส่วนตัวคิดว่าตนน่าจะเอาอยู่
รักลูก เป็นห่วงลูกมาก ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ดูแลด้วยตัวเองเกรงว่าลูกจะอยู่ลำบาก ส่วนหนึ่งก็อยากให้ชุมชนให้โอกาสให้ตนดูแลลูกไปก่อน หากเกินกำลังในครั้งนี้ตนก็จะยอมให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ด้าน นางสำเนียง อายุ 49 ปี ชาวบ้านในหมู่บ้าน บอกว่า ยอมรับว่าชาวบ้านผวา เกรงจะได้รับอันตราย แต่หากแม่มีมาตรการดังกล่าว ควรจะให้โอกาส