"ครูปรีชา" ไม่พลาด ฝากถึง "ทนายตั้ม" ผลกรรมเริ่มทำงาน
"ครูปรีชา" มาแล้ว ไม่พลาดฝากถึง "ทนายตั้ม" ทำอะไร ได้แบบนั้น เชื่อ ผลกรรมเริ่มทำงาน ด้าน "เจ๊เกียว" ไม่ขอซ้ำเติม
จากกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ถูกจับกุมพร้อมด้วยภรรยา ในคดีหลอกลวงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ มาดามอ้อย หลังพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
7 พ.ย. 2567 นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ "ครูปรีชา" กล่าวว่า หลังจากเห็นข่าว ก็อยากจะเดินทางไปเยี่ยมที่กองปราบ ให้เห็นว่า ทนายตั้มโดนเหมือนกับที่ตนเองเคยโดน เมื่อช่วงคดีหวย 30 ล้านหรือไม่ คดีของทนายตั้ม แม้จนถึงตอนนี้ยังไม่สิ้นสุด แต่ตนเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีประจักษ์พยานหลักฐานชัดเจน จนนำมาสู่การออกหมายจับดังกล่าว
ครูปรีชา กล่าวอีกว่า เท่าที่ติดตามข่าวทนายตั้ม ช่วง 1-2 วันนี้ สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าทนายตั้มมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด แตกต่างไปจากปกติ ที่เป็นคนชอบให้สัมภาษณ์ชอบออกสื่อ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือว่าเป็นผลของการกระทำ ไปทำอะไรไว้ ก็ต้องได้ผลของการกระทำแบบนั้น พร้อมอยากฝากไปถึงทนายตั้มว่า "ที่ผ่านมาเคยทำกับครูปรีชาเอาไว้เยอะ ทุกวันนี้ก็โดนกับตนเองบ้าง"
ยกตัวอย่างเช่น คดีหวย 30 ล้าน ที่ทนายตั้มไปยื่นฟ้องพยานฝั่งของครูปรีชาจำนวน 10 ปาก เรียกเงินคนละ 1 ล้านบาท พฤติกรรมแบบนี้ไม่มีทนายที่ไหนเขาทำกัน เพราะพยานถือเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ทนายตั้มให้ลุงจรูญ ยื่นฟ้องพยาน พร้อมเรียกเงิน 10 ล้าน แถมข่มขู่พยานว่า หากทนายฝั่งครูปรีชาคนไหน ไม่อยากเสียเงิน 1 ล้าน ก็ให้มากราบขอโทษลุงจรูญ แล้วจะถอนฟ้องให้ ทำให้มีพยานฝั่งของครูปรีชาหลายคน ต้องยอมไปกล่าวคำขอโทษลุงจรูญต่อหน้าสื่อ ทั้งที่พยานเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิด และให้การไปตามความเป็นจริงที่พบเห็นมา แต่ที่ต้องยอมขอโทษ เพราะไม่อยากเดือดร้อน ต้องไปต่อสู้คดีในชั้นศาล
ด้าน นางปนัญชญา สุขพูล หรือ เจ๊เกียว 1 ใน 3 แม่ค้าลอตเตอรี่ พยานในคดีหวย 30 ล้าน ฝั่งครูปรีชา กล่าวว่า หลังจากได้รับทราบข่าวจากสื่อมวลชน ถามว่า ตนเองดีใจหรือไม่ที่ทนายตั้มถูกจับ ก็คงต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร เพราะไม่ได้เป็นคนชอบซ้ำเติมใคร แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของทนายตั้ม ทำให้สังคมได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้วทนายตั้มเป็นคนอย่างไร และตอนนี้ทนายตั้มก็ได้รับผลของการกระทำนั้นแล้ว เหมือนกับที่ตนเองเคยบอกว่า เวลาจะทำให้ได้รู้ว่าใครเป็นอย่างไร
เจ๊เกียว กล่าวอีกว่า เรื่องทนายตั้ม และลุงจรูญ ยื่นฟ้องพยานฝั่งครูปรีชาจำนวน 10 ปาก ในข้อหาร่วมกันให้การเช็ด พร้อมเรียกเงินคนละ 1 ล้านบาท ซึ่งเจ๊เกียวมองว่า ทุกคนที่มาให้การเป็นพยาน ล้วนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกมาเป็นพยานทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคดี ดังนั้น การที่พยาน ต้องมาถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกเงินถึง 1 ล้านบาท ย่อมทำให้พยานแต่ละคนเกิดความเครียดและความกังวล ว่าจะต้องเสียเงินประกันตัวและต้องเสียเงินจ้างทนายความว่าความสู้คดี ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง