ทนายรณณรงค์ ยอมรับอาย เหมือนเลือกคบคนชั่ว มอง ทนายตั้ม สู้แบบหลังชนฝา
ทนายรณณรงค์ ยอมรับอาย เหมือนเลือกคบคนชั่ว มอง ทนายตั้ม สู้แบบหลังชนฝา เชื่อตำรวจหลักฐานแน่น ไม่เห็นทาง เพื่อนตั้ม พลิกคดีได้
12 พ.ย. 2567 ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กล่าวภายหลัง รับฟังคำชี้แจงของ "นายสายหยุด เพ็งบุญชู" ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ที่ได้พูดคุยกันในรายการดัง ระบุว่า ในทางต่อสู้คดีของทนายความ ต้องยึดตามหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง เช่น หากเป็นคดีฉ้อโกง ก็จะสู้ว่าไม่ใช่การฉ้อโกง แต่เป็นการผิดสัญญาทางแพ่งอยู่แล้ว เป็นรูปแบบการต่อสู้คดีพื้นฐาน แต่ส่วนตัวเชื่อว่า กว่าที่ตำรวจจะแจ้งข้อกล่าวหาได้ จะต้องมีการสอบปากคำหลายชั่วโมง เพื่อเค้นรายละเอียด
ส่วนแนวทางการสู้คดีที่ทนายสายหยุด ได้ประกาศไว้ ตนมองว่า แค่เพียงจะยื่นประกันตัวยังยากเลย จะไปต่อสู้คดีได้อย่างไร และยังเห็นแชตข้อความที่เลขาของเจ๊อ้อย ได้พูดคุยกับทนายตั้มเกี่ยวกับเงิน 71 ล้านบาท มันไม่ใช่แค่การให้ยืมเงิน แต่ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุน และมองว่าแค่เห็นคำว่า "ให้" จะตีความว่าเป็นการให้ไม่ได้ ต้องดูทั้งหมดว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร บางครั้งการจะพิมพ์ไลน์ อาจจะมีหลายล้านคำในใจที่อยากจะพิมพ์ไป แต่พิมพ์ไปสั้นๆ ก็เกิดขึ้นได้ จะเอามาเป็นสาระว่า ตรงนี้คือสัญญาไม่ได้ และตั้งข้อสังเกตว่า ลงทุนกว่า 70 ล้านบาท แต่ไม่มีสัญญาสักฉบับ จะแปลกพิสดารเกินไปหรือไม่
ทนายรณณรงค์ ยังมองอีกว่า แชตดังกล่าวแทบจะไม่ได้บอกอะไร เพราะตนเองได้เห็นเฉพาะสิ่งที่เขาอยากจะให้เห็น แต่ในข้อความแชตที่ตนเองเห็นนั้น พบว่ามีการอ้างผู้ใหญ่อยู่ในนั้นด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อดูแชตเข้าข่ายในลักษณะความผิดที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ นายรณณรงค์ ระบุว่า ดูแค่นั้นไม่ได้ เพราะในแชตเป็นเพียงที่เลขาพูดคุยกับทนายตั้มเท่านั้น ไม่ใช่การพูดคุยกันระหว่างทนายตั้ม และเจ๊อ้อยโดยตรง แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ตำรวจมีข้อมูลมากกว่านั้น เพราะตำรวจรวบรวมหลักฐานระหว่างทาง จนเปรียบได้ว่า เป็นการเก็บข้าวแต่ละเม็ด จนนำมาหุงข้าวได้
ส่วนเรื่องเงิน 39 ล้านบาท ที่ทนายสายหยุด ยืนยันว่า ขณะนุกับสาไปถอนเงินทนายตั้มไม่ได้อยู่ด้วย จะนำมาต่อสู้คดีได้หรือไม่ นายรณณรงค์ กล่าวว่า จะต้องไปดูว่าตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไร วันเวลาเท่าไหร่ ที่ทนายตั้มไปอยู่ในเหตุการณ์ หากมีหลักฐานก็ต้องนำมาหักล้างกัน ซึ่งหากฝั่งทนายตั้มมีหลักฐานว่า ไม่ได้อยู่ในประเทศ ก็มีโอกาสหลุดคดี แต่หากช่วงวันเวลาดังกล่าว อยู่ในไทยและมีการพูดคุยหรือเตรียมการไว้นั้นก็ อาจจะไม่รอด
ถามว่าประเมินสถานณ์คดีของทนายตั้ม อย่างไร ทนายรณณรงค์ มองว่า ยังไงก็ไม่ได้รับการประกันตัว ต้องทำใจรับสภาพ ซึ่งวันพรุ่งนี้จะครบ 1 เดือน ที่ทีมทนายอเวนเจอร์ส พาผู้เสียหายคดี "ดิไอคอน กรุ๊ป" ไปร้องที่กองปราบฯ ซึ่งตนก็รู้สึกอาย เพราะฝั่งบอสดิไอคอน กรุ๊ป อยู่ในเรือนจำแล้ว ฝั่งเราก็มีเหมือนกัน
"รู้สึกอาย เพราะเหมือนเราเลือกคบคนชั่ว ให้มายืนอยู่ข้างๆ" การที่ตนมาพูดแบบนี้ ใครจะว่าก็เชิญ คนที่เงียบตนก็เชื่อว่า เขาก็อายเหมือนกัน แต่แค่ไม่กล้าออกมาพูด ส่วนตัวเองไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
ส่วนที่หลายคนมองว่าทนายดัง เวลาเกิดเรื่องก็ทิ้งเพื่อน ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า ต้องดูด้วยว่าเขาไปทำอะไรมา หากไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงก็พอจะหันไปคุยกันได้ แต่เรื่องนี้ตนมองว่าร้ายแรง แต่ยังไม่ถึงขั้นตัดเพื่อนกับทนายตั้ม ส่วนที่เขาทำก็ต้องรับกรรมไป และที่ตนออกมาพูดก็เพื่อที่จะไม่ให้เรื่องนี้กระทบต่อส่วนราชการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามหน้าที่โดยไม่ต้องมาเกรงใจกัน ผิดถูกก็พิสูจน์กันไป ตอนนี้ทนายตั้มยังเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แค่มีหลายหมายจับเท่านั้นเอง
ทนายรณรงค์ ยอมรับว่า เชื่อในพยานหลักฐานของฝั่งตำรวจมากกว่าฝั่งทนายตั้ม เพราะดูจากแนวทางการต่อสู้คดีของฝั่งทนายตั้ม เหมือนหลังพิงฝาแล้ว จึงต้องสู้ด้วยวิธีนี้ ด้วยการตั้งป้อมว่าเป็นการผิดสัญญา แสดงถึงเจตนาว่า ไม่ต้องการจะคืนเงิน 71 ล้านบาท ส่วนตัวก็มองว่า เมื่อรับเงินมาแล้วไม่ทำโครงการ ทำไมถึงไม่คืนเงินเจ๊อ้อยไป ไม่เห็นจำเป็นต้องรอให้เขามาฟ้องว่า ผิดสัญญาถึงจะคืนเงิน "อย่าเอากฎหมายมาเป็นกำแพง และข้ามศีลธรรม คนเราดูกันที่ศีลธรรม เขาให้มึงมาเท่าไหร่แล้ว"
ทนายรณณรงค์ มองอีกว่า ทนายตั้มปิดประตูตัวเองตั้งแต่ใช้คำว่า "ให้ด้วยความเสน่หา" มันทำให้คนสงสัยว่า ใครจะไปให้ได้ขนาดนั้น และถามกลับว่า ทนายที่มาด้วยเขาเชื่อหรือไม่ แต่เขาแค่ไม่พูดเท่านั้น
กรณี ทนายสายหยุด บอกว่า มีหลักฐานเด็ดที่จะพลิกคดีนั้น นายรณณรงค์ กล่าวว่า ตนเองยังไม่เห็นเลย ส่วนที่อ้างว่ามีทนายอีกคนที่ไม่ดัง ได้รับเงินจากเจ๊อ๊อยถึง 1 ล้านยูโร และจะนำมาเป็นพยานในคดี ตนจึงอยากถามว่าได้นำมาหรือยัง และคนที่จะเอามา เขารู้เรื่องในส่วนของทนายตั้มหรือไม่ ต่อให้เจ๊อ๊อยจะใจบุญอย่างไร ก็เป็นคนละส่วนกัน
เพราะกรณีนี้เขาให้ทนายตั้มทำธุรกิจ แต่ต้องถามว่ามีธุรกิจจริงหรือไม่ หรือแค่ยกเมฆขึ้นมา ตนยังไม่เห็นประโยชน์ของการจะนำพยานรายนี้เข้ามา ซึ่งมองว่า เหมือนจะนำพยานคนนี้เข้ามาเพื่อให้เป็นข่าวเฉยๆ แต่ไม่เห็นประโยชน์ทางคดี และเห็นว่าพยานปากสำคัญที่สุดในคดีนี้คือ "นุ" มากกว่า หากรับสารภาพก็จบ คดีจะพลิกหรือไม่ก็อยู่ที่นุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะที่ไปเที่ยวด้วยกันกับทนายตั้ม เคยเจอนุด้วยหรือไม่ นายรณณรงค์ ยิ้ม และตอบเพียงว่า ให้ไปถามเขานู่น ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แสดงว่าเคยเจอ และเคยคุยด้วยหรือไม่ นายรณณรงค์ ตอบว่า ผมคุยเยอะกว่านั้น
ส่วน นุ จะดูมีฐานะพอจะมีบ้านหรือรถหรูหรือไม่นั้น นายรณณรงค์ กล่าวเพียงว่า ก็แปลกใจอยู่ และแปลกใจตั้งแต่ที่เขาคุยเรื่อง 39 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวถาม แสดงว่าเคยได้ยินพวกเขาคุยเรื่องเงิน 39 ล้านบาทใช่หรือไม่ นายรณณรงค์ ตอบว่า "ผมจำไม่ได้ ลืมแล้ว พูดไปแล้วก็ลืม"