ข่าว

"ทนายตั้ม" อ่วมซ้ำ ตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม ร่วมฉ้อโกง คดี 39 ล้าน

"ทนายตั้ม" อ่วมซ้ำ ตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม ร่วมฉ้อโกง คดี 39 ล้าน

12 พ.ย. 2567

"ทนายตั้ม" อ่วมซ้ำ ตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม ร่วมฉ้อโกง คดี 39 ล้าน "ทนายสายหยุด" เผย หากผิดจริง ถ้าจะให้ทำคดี ต้องสารภาพเท่านั้น

12 พ.ย. 2567 นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เปิดเผยความคืบหน้าหลังเข้าเยี่ยมลูกความเมื่อช่วงเช้า และให้สัมภาษณ์ประเด็นเงิน 39 ล้าน ว่า วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทนายตั้ม เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบว่า จับกุมนุและสา ซึ่งต้องรอดูข้อเท็จจริงในการแจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้มเ ข้าไปเกี่ยวข้องส่วนไหนอย่างไร แล้วจะปรึกษากันหลังจากนี้ "ถ้าเขาผิดจริง ร่วมขบวนการจริง ไปแต่งเรื่องหลอกเอาเงินเขา ผมก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่าผมคงไม่ทำคดีนี้ให้เขา" ซึ่งหากไม่ทำคดีก็คือจะเฉพาะคดี 39 ล้านเท่านั้น

ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่าทนายตั้ม เกี่ยวข้องกับการไปเบิกเงินสดที่ธนาคารห้าแยกลาดพร้าวนั้น ทนายสายหยุด ระบุว่า รอให้เจ้าหน้าที่รัฐออกมายืนยัน กล่าวหาก่อนดีกว่า ว่าวันนั้นทนายตั้มไปรับเงิน เพราะถ้าตนเอาหลักฐานออกมาแล้วจะหงายท้อง เพราะทนายตั้มไม่อยู่ ยืนยันว่า ตนมีหลักฐานที่ทนายตั้มไม่อยู่ในวันดังกล่าวและได้เตรียมไว้หมดแล้ว แต่ขอรอดูว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไร

ถามว่าต้องเป็นหลักฐานอย่างไรที่จะทำให้ตัดสินใจว่าจะไม่รับทำคดี ทนายสายหยุด ระบุว่า ทนายความถ้ามีประสบการณ์ เวลาพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา จะแจ้งให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของการกระทำความผิด

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ทนายตั้มไปพบเจอกับนายนุที่นั่นที่นี่ ตกลงพูดคุยกันว่าจะไปหลอกลวงมาดามยังไง แล้วไปเอาเช็คมา ซึ่งจะต้องมีสตอรี่ของมัน และตนเองก็จะถามทนายตั้มว่าเป็นจริงหรือไม่ตามพฤติการณ์ที่กล่าวหาหรือไม่ แล้วจึงจะตัดสินใจ ซึ่งก็ดูไม่ยากสำหรับการแต่งเรื่องไปหลอกคน สามารถพิสูจน์ได้
 

นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความ

ทั้งนี้ ตนได้สอบถามไปยังพนักงานสอบสวนว่า ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้ม ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงด้วย แต่ยังไม่ได้เข้าไปแจ้งวันนี้ ส่วนจะไปเมื่อไหร่ ต้องรอทางตำรวจโทรมานัดหมายเพราะต้องมีทนายความอยู่ด้วย และจะทำให้ได้ทราบข้อเท็จจริงว่าทนายตั้มไปเกี่ยวข้องส่วนไหนอย่างไร

ต้องดูการไล่เรียงพยานหลักฐานของตำรวจ ถ้าไม่ถูกต้องตามที่ตนมี ก็ไม่ใช่แล้ว ถ้าไทม์ไลน์มีเหมือนกัน สุดท้ายเงินอยู่กับทนายตั้ม หรือมีตัวแทนมารับเงินไป ก็พิสูจน์ได้ชัด ซึ่งตนถามในทางลับได้ ถ้าจริงแบบนั้น ก็ไม่ทำคดีให้ ถ้าจะให้ทำให้ก็ต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง ซึ่งการรับสารภาพก็มีหลายอย่างอีก ทั้งรับสารภาพทั้งหมด หรือในลักษณะการสนับสนุน

ทนายสายหยุด ยังบอกอีกว่า เท่าที่ตนเองทราบเรื่อง ทนายตั้มมีการห้ามปราม ในเงินก้อน 39 ล้านบาทนี้ คือเป็นการห้ามตั้งแต่ผู้เสียหาย แชตคุยกับคนที่อ้างว่าเป็นดาราจีน แล้วทนายตั้มก็ห้ามว่า ไม่ต้องไปให้เงินหรอก มันจะมีเงินในบัญชีบิทคอยน์ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า ผมว่ามันไม่น่ามีตังค์ถึงขนาดนั้น

ซึ่งเท่าที่ตนเองพูดคุยกับทนายตั้ม ในข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทนายตั้มบอกว่า "ไม่เกี่ยวข้อง ผมห้ามเขาตลอด ไอนะเหรอจะมีเงินในบัญชี 30-40 ล้าน" เพราะตนเองก็บอกทนายตั้มไปเหมือนกันว่า "ถ้ามีอีกก็ไม่ไหวแล้วนะ ไปหลอกเขาทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่ไหวรึเปล่า" ซึ่งเป็นการพูดคุยกันในห้องสอบสวน

และเมื่อทนายตั้มบอกไม่เกี่ยว ตนก็ไม่ได้ถามลงลึก และไม่ได้ถามจับผิด ส่วนเขาจะให้การอย่างไร ต้องรับผิดชอบคำพูดของเขาเองด้วย  ซึ่งตนไม่อยากตอบหรือให้ความเห็นว่าเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้านบาทหรือไม่ เพราะตนเองยังไม่เห็นข้อเท็จจริงตามที่พนักงานสอบสวนจะเข้ามาแจ้งข้อหา

ทนายสายหยุด ยอมรับว่า ตอนอยู่สำนักงานษิทรา ลอว์เฟิม เคยไปเที่ยวกันในสำนักงานและได้เจอกับนุ กับสา ก็ตามมาทีหลัง ซึ่งตอนนั้นตนเองไม่รู้ว่าเป็นใครรู้ว่าเป็นแขกของทนายตั้ม และเท่าที่ตนเองทราบน่าจะเคยเป็นลูกความกัน และน่าจะสนิทสนมกันระดับหนึ่ง ตอนนั้นตนเองก็พูดคุยกับนุและสาแบบทั่วไป นั่งกินดื่ม ก่อนกลับก็ถ่ายรูปร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ไปคุยอะไรกันเยอะ และเคยเจอทั้งแค่ครั้งเดียว รวมถึงตั้งแต่มีประเด็นข่าว ก็ไม่เคยพูดคุยกับสองคนนี้เช่นกัน

ส่วนประเด็นที่ทนายเดชา บอกว่า มีพยานบุคคลที่เห็นข้อความแชตพูดคุยว่า เจ๊อ้อยยกเงินให้ทนายตั้มนั้น ทนายสายหยุด ระบุว่า มีพยานบุคคลจริง ยังไม่เคยมาให้การต้องรอมาให้ปากคำก่อน แต่ตนเองยังไม่ขอให้รายละเอียดมาก รอให้เรื่องเรียบร้อยก่อน เพราะกังวลว่าพยานจะตกใจ ส่วนจะแก้ข้อกล่าวหาได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็เป็นพยานปากหนึ่งที่ได้รู้ได้เห็นตอนเขาคุยกัน ส่วนจะฟังได้หรือไม่ คงต้องให้ศาลพิจารณา

ทนายสายหยุด กล่าวในฐานะที่ตนเองเป็นเพื่อนทนายตั้ม ยอมรับว่า กังวลในคดี 39 ล้านบาท หากทนายตั้มเกี่ยวข้องจริง เขาต้องไปรับโทษ คงต้องทำใจ หากนุ กับ สา ให้การพาดพิงไปที่ทนายตั้มเกี่ยวนั้น ก็ต้องดูอีกครั้งเพราะพยานบุคคลน้ำหนักที่รับฟังไม่ได้มากเท่าไร หากมีส่วนได้เสียด้วย คงจะต้องมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ชัดเจนกว่าคำพูด โดยเฉพาะเวลาที่เกิดเหตุ ไม่ใช่พอโดนจับแล้วมาอ้างว่าทนายตั้มใช้ทนายตั้มสั่ง ซึ่งต้องดูเจตนาว่า นุกับสา ทำหรือไม่ และเชื่อว่าตำรวจคงมีข้อมูลชุดนี้อยู่แล้วก่อนที่จะออกหมายจับ และแจ้งข้อกล่าวหา คงไม่ใช่การจับแล้วมาซัดทอด
 

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม

ซึ่งคดีที่เกี่ยวกับเงิน 39 ล้านบาทนี้ จะเป็นคดีใหม่อีก 1 คดี ซึ่งตัวละครหลักตอนนี้ที่ถูกแจ้งข้อหา จะมีนุกับสา และทนายตั้ม 3 คน และยังไม่รู้ว่าจะมีคนอื่นร่วมอีกหรือไม่ด้วย

ส่วนประเด็นวันที่ นุ กับสา ไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.บางซื่อ นั้น ตนเองได้สอบถามกับทนายตั้ม ว่าได้ให้ไปแจ้งความหรือไม่ ทนายตั้ม บอกว่า นุบอกจะไปลงบันทึกวันแค่นั้น ไม่ได้ฝากอะไร และบันทึกประจำวันลงที่ไหนก็ได้ และทนายตั้ม ก็ยืนยันว่า ไม่ได้มีการประสานงานให้ แต่ทนายตั้มเคยไปแจ้งความที่ สน.บางซื่อ

ถามว่าเคยโทรหาผู้กำกับสน.บางซื่อ หรือไม่นั้น ทนายสายหยุด ชี้แจงว่า ทนายตั้มบอก เคยคุยกับผู้กำกับ แต่ตนเองไม่ได้ถามเจาะ ซักลงไปว่าในวันที่ไปลงบันทึกประจำวัน ทนายตั้มได้โทรไปคุยหรือไม่ โทรไปก่อนหรือหลังหรือฝากไว้หรือไม่อย่างไร ซึ่งจะขอดูการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน เพราะหากยังไม่มีข้อเท็จจริง ตนเองก็ยังไม่อยากไปคาดคั้นอะไรกับทนายตั้ม

ถามว่ามองอย่างไรที่สังคมมองว่า เป็นทนายความก็ต้องช่วยลูกความนั้น ทนายสายหยุด ระบุว่า ทนายตั้มเป็นประชาชนที่โดนกล่าวหา ต้องมีทนายความแก้ต่างให้ หากผิดจริงก็ต้องรับโทษ แต่โทษที่จะได้รับควรจะเหมาะสมกับที่เขากระทำ "ผมเป็นทนายความต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด" ย้ำว่า คำให้การของทนายตั้มให้การ แค่ครั้งเดียวกับพนักงานสอบสวน ไม่เคยเปลี่ยน และไม่ได้ให้การกลับไปกลับมา ส่วนเขาจะพูดที่อื่นยังไงเป็นการสับขาหลอกหรือไม่นั้น ไม่ยืนยัน