เปิดคำพิเคราะห์ เหตุผลศาลตัดสิน ประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์"
เปิดคำพิเคราะห์ เหตุผลศาลตัดสิน ประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์" ระบุ กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา วางยาคาดหมายให้เสียชีวิต ก่อนชิงทรัพย์
20 พ.ย. 2567 ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิตวุฒาภรณ์ หรือ "แอม ไซยาไนด์" อายุ 36 ปี จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย
ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 40 ปี อดีตสามี จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือ ทนายพัช อายุ 36 ปี จำเลยที่ 3 ในความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐานพร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน30 ล้านบาท
อัยการโจทก์ระบุคำฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลย สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2566 นางสรารัตน์จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย อายุ 32 ปี โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหาร หรือน้ำดื่ม และปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตาย ดื่มหรือรับประทาน ระหว่างที่จำเลยที่ 1 กับผู้ตาย ซึ่งเป็นเพื่อนกันเดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติ และเสียชีวิตเวลาต่อมา
โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินผู้ตาย 9 รายการมูลค่า154,630 บาทของผู้ตายไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้ หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษน้อยลงอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้รับการประกันตัวโดยศาลตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท
ก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ใส่กุญเเจมือจำเลยทั้งสามราย ยืนฟังการอ่านคำพิพากษาตลอดเวลา ซึ่งโดยปกติหากมีการอ่านคำพิพากษานาน ศาลจะอนุญาตให้นั่งฟังได้ และไม่ต้องใส่กุญแจมือ
ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ว่า ช่วงวันที่ 1 ม.ค. 63 ถึง 5 พ.ค. 66 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงิน เชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก
ส่วนในปี 64-65 พบว่าจำเลยที่ 1 เสียเงินให้กับพนันออนไลน์จำนวนมาก เเละมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล ต่อมาพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ ข้อเท็จจริงยังได้ความว่ามีการเสียชีวิตของผู้เสียหายที่เกี่ยวพันลักษณะนี้ 13 ราย เเละรอดชีวิต 2 ราย
ส่วนการเสียชีวิตของนางสาวศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่เป็นพิรุธ ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่ 1 คอยอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหากบริสุทธิ์จริง ควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือโทรติดต่อญาติของผู้ตายให้ทราบ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น
ยังพบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งไซยาไนด์ มาอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมี และพบว่ามียาไซยาไนด์ ซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์ คดีนี้เเม้ไม่มีประจักษ์พยานเเต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่เห็นผู้ตายล้มลง เเละยังลักทรัพย์ผู้ตายโดยไม่ช่วยเหลือ เเละภายหลังผู้ตายเสียชีวิตด้วยไซยาไนด์ เรียกได้ว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อประโยชน์เเห่งการชิงทรัพย์
พยานหลักฐาน จำเลยที่ 2 ทราบว่าตำรวจกำลังตามหาของกลาง ที่มีประเด็นหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่ 1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน ตามคำยุยงของจำเลยที่ 3
ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าซึ่งเป็นของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้คุยและส่งผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชนะคดีได้ โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น เพื่อจูงใจ ให้จำเลย ซ่อนเร้นพยานหลักฐานในคดีการกระทำ จึงไม่ใช่แค่การให้คำแนะนำทางกฎหมายแต่เป็นการยุยงให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิด ซึ่งอาชีพทนายความเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีแต่จำเลยกลับกระทำการให้มีการทำผิดกฎหมาย
พยานโจทก์เเละโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึง 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่ง โจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระค่าขาดอุปการะ ค่าปลงศพเเละค่าเสียหายจากทรัพย์พร้อมดอกเบี้ย ให้ชำระให้โจทก์ร่วม เป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท
ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 3 กระทำผิดตามฟ้อง เห็นว่าการกระทำของ นางสรารัตน์ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อกระทำอย่างอื่น พิพากษาประหารชีวิต
ส่วนพ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือ ทนายพัช จำเลยที่ 3 มีความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี เเต่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน เเละให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเเก่โจทก์ร่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 3 ชั่วโมงเศษ ตั้งเเต่ช่วง 09.30-12.30 น.เศษ บรรยากาศ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เบิกตัว แอม มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉย สวมแว่นตา สวมหน้ากากอนามัยสีน้ำเงิน ร่างกายซูบผอมลง และตลอดการฟังคำพิพากษา แอม หันมาคุยกับ ทนายพัช ตลอด โดยไม่หันไปทางสามี(จำเลยที่ 2) เลย เเละมีอาการเคร่งเครียด ส่วนมารดาและครอบครัวของนางสาว ก้อย ผู้เสียชีวิต หลังฟังคำพิพากษาต่างก็ร้องไห้โฮ กอดกันด้วยความดีใจและโผเข้ากอดกัน
ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความเปิดเผยว่า วันนี้ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ศาลพิพากษา แต่มีการพูดถึงพยานจากคดีอื่นด้วย ซึ่งสามารถนำคำพิพากษาในคดีนี้ เป็นแนวทางในการพิพากษาคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอม และมีการเสียชีวิตอีกด้วย ส่วนคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอม 14 คดี ทราบจากพนักงานสอบสวนกองปราบที่เจอกันวันนี้ ว่าพนักงานสอบสวนจะนำสำนวนพร้อมความเห็นทางคดี มามอบให้กับพนักงานอัยการในวันที่ 26 พ.ย. นี้