ข่าว

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

29 ธ.ค. 2567

ไหว้พระปีใหม่ 2568 ! เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง ต้อนรับศักราชใหม่

ส่งท้ายปีเก่า เริ่มต้นศักราชใหม่  2568 หลายคนใช้ช่วงเวลาวันหยุดยาวนี้ ไหว้พระขอพร 10 วัดทั่ว กรุงเทพมหานคร ต้อนรับปีใหม่ 2568 เสริมบารมี และความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

 

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

 

1.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

 

เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญทางศาสนา  วัดพระแก้วสร้างแล้วเสร็จปี พ.ศ. 2327 และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 ตลอดทุกรัชกาล ภายในพระอุโบสถและระเบียงรอบวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่อง “รามเกียรติ์” ซึี่งสวยงามมาก สิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ภายในวัด ได้แก่ พระปรางค์แปดองค์ พระศรีรัตนเจดีย์ปราสาท นครวัดจำลอง ปราสาทพระเทพบิดร ฯลฯ

 

  • วันเวลา  : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-15.30 น. ค่าเข้าชม ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 500 บาท
  • ช่องทางติดต่อ : 0 2623 5499
  • เว็บไซต์ : www.royalgrandpalace.th

 

 

 

 

2.วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

วัดเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า "วัดแจ้ง" ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอัมรินทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่าวัดแจ้ง ต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรี ได้โปรดเกล้าฯ กำหนดให้วัดแจ้งเป็นวัดในเขตพระราชฐาน และสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์

 

วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 จึงถือเป็นวัดประจำรัชกาล เมื่อบูรณะแล้วเสร็จได้พระราชทานนามว่าวัดอรุณราชธาราม ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการก่อสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ ความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร เสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดอรุณราชวราราม

  • วันเวลา  : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชม คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 200 บาท
  • ช่องทางติดต่อ : 0 2891 2185

3.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)

 

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งอยู่ถนนมหาราช ข้างพระบรมมหาราชวัง เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดเก่าแก่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม วัดนี้เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1

 

เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ทั้งหมด และนำตำราวิชาการด้านต่าง ๆ มาจารึกไว้โดยรอบ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน ถือว่าวัดโพธิ์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย นอกจากนี้ วัดโพธิ์มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ก่ออิฐถือปูนปิดทองทั้งองค์ ยาว 46 เมตร สูง 15 เมตร ที่ฝ่าพระบาทแต่ละข้างมีลวดลายประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของมหาบุรุษตามคติของอินเดีย

  • วันเวลา  :  เปิดทุกวัน เวลา 08.30-19.30 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 300 บาท
  • ช่องทางติดต่อ :  โทร. 08 3057 7100
  • เว็บไซต์ : www.watpho.com

 

 

 

 

4.วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

ดิมชื่อว่าวัดบางหว้าใหญ่ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในครั้งสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางหว้าใหญ่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และยกเป็นพระอารามหลวง เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ และยังเป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ ตำหนักแดง ลักษณะเป็นเรือนไม้สัก ฝาปะกน

 

เชื่อกันว่าเคยเป็นตำหนักสำหรับทรงกรรมฐานของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายในพระตำหนักมีหลักฐานที่ใช้อ้างอิง คือ ฝาประจันกั้นห้องภายในตำหนักเดิม ภาพเขียนรูปอสุภชนิดต่าง ๆ อีกทั้งภาพพระภิกษุเจริญกรรมฐาน ซึ่งสอดคล้องกันกับพระอุปนิสัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่ปัจจุบันภาพเหล่านี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยที่ยังปรากฏให้เห็น -หอพระไตรปิฎก ลักษณะเป็นเรือนแฝดสามหลัง

 

สร้างขึ้นจากไม้ที่รื้อจากพระตำหนักและหอนั่งเดิมของรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งยังทรงรับราชการอยู่ในกรุงธนบุรี ชายคาเป็นรูปเทพนมเรียงรายเป็นระยะ ฝาผนังด้านนอกทาสีดินแดง ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ ประดิษฐานอยู่ที่หอด้านเหนือ และหอด้านใต้ด้านในเป็นภาพเขียนฝีมืออาจารย์นาค ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยกรุงธนบุรี โดยตามความเชื่อ เชื่อว่าใครที่มากราบไหว้วัดระฆัง จะมีชื่อเสียงโด่งดัง

  • วันเวลา  :  เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.
  • ช่องทางติดต่อ : 0 2418 1079
  • เว็บไซต์ : www.watrakang.com

 

 

5.วัดปากน้ำภาษีเจริญ

 

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

เป็นวัดเก่าแก่ก่อตั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ตั้งอยู่บริเวณปากคลองด่าน เชื่อมกับคลองบางกอกใหญ่ จึงเรียกกันว่า วัดปากน้ำ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์แต่ยังให้คงรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ และได้บูรณปฏิสังขรณ์อีกครั้ง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ต่อในสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 วัดปากน้ำไม่ได้รับการดูแล

 

เนื่องจากไม่มีเจ้าอาวาสทางเจ้าคณะอำเภอขณะนั้นจึงได้ส่ง หลวงพ่อสด จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมาเป็นเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ. 2459 หลวงพ่อสดได้ทำให้วัดปากน้ำกลายเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม มีภิกษุ สามเณร รวมถึงประชาชนได้เข้ามาปฎิบัติธรรมที่วัดเป็นจำนวนมากสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อสดมรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 แต่สรีระสังขารยังถูกเก็บไว้ ณ หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิรมิต วัดปากน้ำภาษีเจริญ และยังเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าไปสักการะได้ สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ใช้ระยะเวลาสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2547 แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2555 เจดีย์เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์และล้านนาประยุกต์เข้าด้วยกัน ฐานของเจดีย์ได้ต้นแบบมาจาก วัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูง 80 เมตร ภายในแบ่งพื้นที่การจัดแสดงออกเป็น 5 ชั้น ประกอบด้วย

 

  • ชั้นที่ 1 พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาบริจาค เช่น รถเก่า จักรเย็บผ้า พระพุทธรูปแกะสลัก
  • ชั้นที่ 2 เป็นห้องปฏิบัติธรรม
  • ชั้นที่ 3 เป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) จัดแสดงเครื่องใช้ของส่วนตัวและของที่ลูกศิษย์นำมาถวาย
  • ชั้นที่ 4 เป็นห้องประดิษฐานพระทองคำรูปเหมือนหลวงพ่อสด และบูรพาจารย์ท่านอื่น ๆ
  • ชั้นที่ 5 ประดิษฐานเจดีย์แก้วมรกต ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีเพดานเป็นทรงโดมระบายด้วยภาพวาดจิตรกรรมเป็นจักรวาล

 

 

นอกจากนี้มีพระพุทธธรรมกายเทพมงคล เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 40 เมตร สูง 69 เมตร ประดิษฐานคู่กับเจดีย์พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล สร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อสดซึ่งท่านเห็นลักษณะของพระพุทธรูปนี้ในขณะที่กำลังเจริญสมาธิกรรมฐาน นอกจากจะสร้างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

  • วันเวลา : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.

 

 

6.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

วัดสุทัศน์เทพวราราม อยู่ที่ถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์สร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับพระวิหารวัดพนัญเชิง ให้เป็นศรีสง่าแก่พระนคร พระราชทานนามว่า วัดมหาสุทธาวาส แต่สร้างยังมิทันสำเร็จได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงดำเนินงานต่อ และพระราชทานนามว่า วัดสุทัศน์เทพวราราม สร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถานเป็น อุเทสิกเจดีย์ (คือต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่

 

 

สิ่งที่น่าสนใจในวัดได้แก่ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยมทางด้านการแกะสลักในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร - เสาชิงช้า อยู่ใกล้วัดสุทัศน์เทพวราราม การสร้างเสาชิงช้านี้มีที่มาจากการที่วัฒนธรรมของชาวไทยมีวิถีของศาสนาพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวพันอยู่มาก เมื่อสร้างกรุงเทพฯ เสร็จจึงมีการสร้างโบสถ์พราหมณ์ และเสาชิงช้า

 

เดิมตั้งอยู่ริมถนนบำรุงเมือง ทางที่เลี้ยวไปถนนดินสอ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2327 และย้ายมาตั้งที่ถนนบำรุงเมืองในปัจจุบันเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 บริษัท หลุยส์ ที.เลียวโนแวนส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ได้อุทิศซุงไม้สักเพื่อสร้างเสาชิงช้าใหม่ สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2463 ทำการซ่อมแซมเมื่อปี พ.ศ. 2548 มีส่วนสูง 21 เมตร เสาชิงช้านี้ใช้ประกอบ พิธีตรียัมพวาย หรือ พิธีโล้ชิงช้าของศาสนาพราหมณ์ จัดในเดือนยี่ของทุกปี และยกเลิกเมื่อปี พ.ศ. 2478

 

นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อกลักฝิ่น ที่ประชาชนนิยมไปกราบสักการะ ขอขมากรรมจนเป็นไวรัลอีกด้วย

 

 

 

7.วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

เป็นวัดที่มีเสมาขนาดใหญ่ทำเป็นเสาศิลาสลักรูปเสมาธรรมจักรอยู่บนเสาตั้งอยู่ที่กำแพงวัดทั้ง 8 ทิศ บริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ

 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อยู่ที่ถนนเฟื่องนคร เป็นวัดที่มีเสมาขนาดใหญ่ทำเป็นเสาศิลาสลักรูปเสมาธรรมจักรอยู่บนเสา อยู่ที่กำแพงวัดทั้ง 8 ทิศ บริเวณวัดเดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2412 (สมัยรัชกาลที่ 5) เสร็จในปี พ.ศ. 2413 โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษา พร้อมอัญเชิญ พระพุทธนิรันตราย มาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ ศิลปกรรมที่สำคัญในวัด ได้แก่ บานประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถที่มีลายไทยลงรักประดับมุกเป็นรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ สวยงามมาก

 

 

8.วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้น โดยมีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง ศิลปะ สถาปัตยกรรมไทยโบราณที่มีความวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง ทั้งยังประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในชื่อ "Marble temple" พระประธานของวัดจำลองมาจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก บริเวณพระระเบียงด้านหลังพระอุโบสถเรียงรายด้วยพระพุทธรูปโบราณปางต่าง ๆ 52 องค์ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมมาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ

 

 

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง จึงถือได้ว่าเป็นการก่อสร้างศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณที่มีความวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ จนได้รับการยกย่องว่า เป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง ทั้งยังประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี

 

เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในชื่อ "Marble temple" สถาปัตยกรรมที่สำคัญภายในวัด พระพุทธชินราช (จำลอง) พระประธานของวัด จำลองมาจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก พระอุโบสถ ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนทั้งหลัง อาคารทรงจัตุรมุข หลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น มุงกระเบื้องกาบูสีเหลือง ลักษณะเป็นกาบโค้ง พระพุทธรูปโบราณปางต่าง ๆ จำนวน 52 องค์ บริเวณพระระเบียงด้านหลังพระอุโบสถ

 

 

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรวบรวมมาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ ศาลาสี่สมเด็จ เป็นแบบจัตุรมุข หน้าบันจำหลักลายและตราต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน พระระเบียงคด พื้นระเบียงปูหินอ่อน เสากลมหินอ่อนทั้งแท่ง 64 ต้น เสาเหลี่ยมประกบแผ่นหินอ่อน 28 ต้น ปลายเสาปั้นบัวปิดทองประดับกระจก -พระที่นั่งทรงผนวช เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวชใน พ.ศ. 2416 -พระที่นั่งทรงธรรม สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา โปรดให้สร้างเพื่ออุทิศถวายเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร -พระวิหาร ส.ผ. สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอพระธรรมมีชื่อว่า หอสมุดพุทธสาสนสังคหะ ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนรสิงห์จำลอง พระฝาง และพระพุทธรูปโบราณต่าง ๆ

  • ช่องทางติดต่อ : 0 2282 9686

 

 

 

9.วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

อยู่ใกล้กับวัดอรุณราชวราราม ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณราชวราราม เป็นวัดในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดเจ้าสัวหง ตามชื่อเศรษฐีชาวจีนผู้สร้าง ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ขยายวัดกว้างกว่าเดิม และในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดหงส์รัตนาราม" สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ -พระอุโบสถ บานประตูหน้าต่างเป็นไม้แกะสลักรูปหงส์เกาะกิ่งไม้ และซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นศิลปกรรมผสมผสานไทยและจีน ภายในพระอุโบสถ มีพระประธานประดิษฐานบนรัตนบัลลังก์ มีพระอัครสาวกซ้าย-ขวา

 

และมีพระพุทธรูปสำคัญ หลวงพ่อแสน เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์นวโลหะ ศิลปะเชียงแสน เสาอุโบสถลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง รูปพันธุ์พฤกษา ภาพจิตรกรรมฝาผนังระหว่างช่องหน้าต่างเล่าเรื่องทศชาติชาดก และภาพจิตรกรรมฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3-4 เล่าเรื่อง ตำนานพระแก้วมรกต หรือ รัตนพิมพวงษ์ ใส่กรอบแขวนไว้ที่ผนังอุโบสถเหนือประตูหน้าต่าง จำนวน 57 ภาพ ที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย -พระวิหาร เป็นอาคารวางขวางกับพระอุโบสถ มีหน้าบันที่สวยเหมือนกับพระอุโบสถ

 

 โดยมีประตูทางเข้าทางด้านยาวของพระวิหาร ภายในมีพระพุทธหลายองค์ พระพุทธรูปสำคัญศิลปะสุโขทัย นามว่า หลวงพ่อสุข หรือหลวงพ่อทองคำแห่งวัดหงส์รัตนาราม -หอไตร เป็นอาคารไม้ฝาปกน เขียนลายรดน้ำปิดทอง บานประตูไม้แกะสลักลายเครือเถา ฝีมือช่างสมัยรัตนโกสินทร์ และมีตู้พระไตรปิฎกลวดลายแกะสลักงดงาม -ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระราชานุสรณ์ที่พระองค์โปรดฯ ให้บูรณะปฎิสังขรณ์วัด และสระน้ำมนต์

 

 

10.วัดบวรนิเวศวิหาร

เปิด 10 พิกัด ไหว้พระขอพรปีใหม่ 2568 เสริมบารมี ความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง

เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวิหาร สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะทรงผนวชในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9

 

อยู่ที่ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวิหาร สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีน สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2367-2375 ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงเป็นแม่กองก่อสร้าง และเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะทรงผนวชในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดนี้ ได้แก่ พระอุโบสถ สร้างตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 มีมุขหน้ายื่นออกมาเป็นพระอุโบสถ และมีปีกยื่นออกซ้ายขวา เป็นวิหารมุขหน้า ที่เป็นพระอุโบสถ มีเสาเหลี่ยมมีพาไลรอบซุ้มประตูและหน้าต่าง หน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้น สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์

 

ซึ่งเป็นพระประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และพระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้ พระเจดีย์ทอง เจดีย์ขนาดใหญ่

 

ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่องค์พระเจดีย์มีซุ้มเป็นทางเข้าสู่คูหา 4 ซุ้ม ตรงกลางประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีพระเจดีย์ประดิษฐานอยู่โดยรอบพระเจดีย์กาไหล่ทองอีก 4 องค์ คือ พระไพรีพินาศเจดีย์ พระเจดีย์บรมราชานุสรณ์พระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระเจดีย์ไม้ปิดทอง พระเจดีย์โลหะปิดทอง

  • วันเวลา : ตั้งแต่เวลา  08.00-17.00 น.
  •  

ที่มา : ททท.