เปิดไทม์ไลน์ เด็กชาย 9 ขวบ ป่วยไข้เลือดออก ก่อนเสียชีวิต หลังแม่ร้องเรียน รพ.
เปิดไทม์ไลน์ เด็กชาย 9 ขวบ ป่วยไข้เลือดออกรุนแรง ก่อนเสียชีวิต หลังแม่ร้องเรียน รพ. ขาดความใส่ใจ จนเกิดเหตุเศร้า
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ว่ามีลูกชายของเพื่อนเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน อ.สะเดา ด้วยอาการไข้สูง หลังจากจ่ายยาก็ให้คนป่วยกลับบ้าน แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงกลับไปที่โรงพยาบาลอีก สุดท้ายถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลหาดใหญ่ และผู้ป่วยได้เสียชีวิตลง ทางแม่และญาติๆ มองว่าทางโรงพยาบาลต้นทาง ขาดความใส่ใจต่อคนป่วยจึงทำให้เกิดเหตุเศร้าขึ้น
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ น.ส.เจนจิรา อายุ 32 ปี ชาว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เปิดเผยว่า ลูกชายของตนเองคือ ด.ช.เจมส์ อายุ 9 ขวบ ช่วงวันที่ 5 ม.ค. มีอาการไข้สูง เวลาประมาณ 18.00 น. จึงพาลูกไปพบแพทย์ ที่ห้องฉุกเฉิน ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน อ.สะเดา พร้อมกับแจ้งว่าลูกชายมีความเสี่ยง เป็นโรคไข้เลือดออก เนื่องจากเพื่อนในชั้นเรียนชั้น ป.3 มีเด็กเป็นโรคนี้อยู่ เจ้าหน้าที่ตรวจอาการเบื้องต้น และได้จ่ายยาพาราเซตามอล เกลือแร่ และกลีเซอริลกวัวโคเลท ก่อนให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยนัดเจาะเลือดในวันที่ 6 ม.ค. ก่อนเวลา 08.30 น.
ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น. หลังจากที่ลูกเจาะเลือดแล้ว แพทย์แจ้งว่าผลเลือดปกติ และน้ำในเลือดก็ปกติ แต่ขณะนั้นลูกมีไข้ขึ้นสูง พยาบาลนำตัวลูกไปเช็ดตัวเพื่อลดไข้ หลังจากฟังผลเลือดเสร็จก็ได้รับยา พาราเซตามอล เกลือแร่ และกลับไปรักษาตัวที่บ้าน หลังกลับมาอาการก็ไม่ดีขึ้น ไข้สูงและอ่อนเพลีย และเริ่มเพ้อ กลืนอาหารไม่ลง
วันที่ 8 ม.ค. เวลาประมาณ 16.00 น. ลูกมีอาการอ่อนเพลีย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงพาไปที่คลินิกใกล้บ้าน ระหว่างนั้นลูกมีอาการชักเกร็ง จึงรีบพาลูกไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาตรวจเบื้องต้น และแจ้งว่าลูกไม่มีไข้ ความดันปกติ ปอดโล่ง อาการที่พบคืออ่อนเพลีย อาจจะได้รับผลกระทบมาจากอาการไข้ก่อนหน้านี้ ตนจึงได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า ก่อนที่จะมาโรงพยาบาล ลูกมีอาการชักเกร็ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า ให้ลูกมีอาการชักเกร็ง หมดสติ ตาเหลือก ถึงจะมาห้องฉุกเฉิน ตนจึงบอกว่าขอให้ลูกรับน้ำเกลือที่โรงพยาบาลได้หรือไม่ เนื่องจากลูกมีอาการอ่อนเพลีย แต่ได้รับคำตอบว่าให้ลูกกลับไปทานน้ำเกลือแร่ที่บ้าน เนื่องจากน้ำเกลือไม่ได้ช่วยให้หายจากอาการไข้ ตนเองจึงได้พาลูกกลับบ้านในเวลาประมาณ 20.00 น.
ต่อมาวันที่ 9 ม.ค. ลูกมีอาการอ่อนเพลีย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เช่นเดิม เวลาประมาณ 17.00 น. จึงพาลูกไปที่คลินิกแห่งหนึ่ง ทางคลินิกได้ทำหนังสือขอส่งตัวลูกไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลเดิม เจ้าหน้าที่ได้นำลูกเข้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งแพทย์แจ้งว่าลูก น้ำตาลต่ำ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อพยุงชีวิต และทางโรงพยาบาลบอกว่าจะต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ เนื่องจากคาดว่าจะติดเชื้อในกระแสเลือด ลูกถูกส่งตัวถึงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลหาดใหญ่ เวลาประมาณ 20.30 น. และไปรักษาตัวต่อที่ห้องผู้ป่วยหนัก แพทย์บอกว่าลูกมีอาการตับพัง ไตวาย น้ำท่วมปอด
วันที่ 10 ม.ค. เวลาประมาณ 03.00 น. แพทย์แจ้งว่าลูกมีเลือดออกในช่องท้อง ต้องใช้ยาด่วน และแพทย์แจ้งว่าลูกตอบสนองกับยาได้ดีแต่ต้องใช้ยาสลบ ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตหนัก โดยตนเองรออยู่หน้าห้องผู้ป่วยวิกฤตโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ 11 ม.ค. เวลาประมาณ 08.00 น. แพทย์บอกว่าชีพจรของลูกตก กำลังที่จะกู้ชีพ ต่อมาเวลาประมาณ 11.00 น. แพทย์ให้ตนเองเข้าไปอยู่กับลูก เนื่องจากอาการไม่ดีขึ้น รูม่านตาไม่รับแสง ต่อมาเวลาประมาณ 13.16 น้องก็เสียชีวิต
น.ส.เจนจิรา กล่าวว่า สาเหตุการเสียชีวิตทางโรงพยาบาลหาดใหญ่แจ้งว่าลูกเป็นไข้เลือดออกอย่างรุนแรง แต่ทางโรงพยาบาลในพื้นที่บอกว่าไม่มีเชื้อ แต่แจ้งว่าน้องอาจติดเชื้อกระแสเลือดเท่านั้น มันสวนทางกัน ที่ตนมาแจ้งความวันนี้ เพราะเราพยายามรักษาลูกทุกขั้นตอน รู้สึกว่าอาจจะเป็นแค่บุคคลเดียวที่ทำให้โรงพยาบาลดูไม่ดี ไม่ได้เหมารวมทั้งโรงพยาบาล แต่หากใส่ใจสักนิดอาจจะดีกว่านี้ หากวันนั้นให้น้ำเกลือน้อง หรือดูอาการน้อง คิดว่าน้องคงไม่แย่ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น