ฝากขัง-ค้านประกัน ชายขับเก๋งชนไรเดอร์ ให้การปฏิเสธ เจ้าตัวเครียด กุมขมับ
คุมตัวฝากขัง-ค้านประกัน ลูกเจ้าของร้านขายผ้า ขับเก๋งชนไรเดอร์ เจ้าตัวเครียด-กุมขมับ ตำรวจ เผย ยังให้การปฏิเสธ
จากกรณีนายเสรี อายุ 30 ปี ลูกชายเจ้าของร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง ขับรถเก๋งไล่ชนนายฤทธิศักดิ์ อายุ 49 ปี คนขับไรเดอร์ เสียชีวิตบริเวณริมทางเท้า ซอยสุขุมวิท 10 ถ.สุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพฯ หลังจากก่อนหน้านี้นายเสรี ได้ขับรถเฉี่ยวชนนายฤทธิศักดิ์ แต่ไม่ยอมลงมาเจรจา นายฤทธิศักดิ์ จึงขับรถไล่ตาม แต่กลับถูกนายเสรีทำร้ายร่างกาย จนนายฤทธิศักดิ์ต้องยกมือไหว้ และพยายามที่จะขี่รถหนี แต่นายเสรีแค้นใจ ขับรถไล่ตามต่อ ก่อนพุ่งชนจนนายฤทธิศักดิ์เสียชีวิต
22 ม.ค. 2568 ที่ สน.ลุมพินี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พ่อและญาติของนายเสรี ประมาณ 7 คน เดินทางมาที่โรงพัก เพื่อเยี่ยมนายเสรี แต่ปรากฏว่าเมื่อทีมข่าวของเราเข้าไปพูดคุยด้วย พ่อและญาติ พร้อมใจกันยกมือ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ และให้ข้อมูลใดๆ กับสื่อมวลชนด้วยท่าทีเคร่งเครียด ซึ่งหลังจากเยี่ยมนายเสรีเสร็จแล้ว ทั้งหมดได้เข้าไปหลบอยู่ภายในห้องพนักงานสอบสวน
จากการสอบถามสิบเวรที่เฝ้าเวรหน้าห้องควบคุมผู้ต้องหา ให้ข้อมูลว่า นายเสรี มีอาการเครียดเหมือนผู้ต้องหาทั่วไป เดินวนไปวนมาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีงีบนอนบ้าง โดยนายเสรีไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ พูดคุยได้ปกติ ในส่วนของเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ญาติได้นำน้ำดื่ม และชาแขกมามอบให้ ซึ่งนายเสรีก็กินได้
ด้าน น.ส.สายใจ อายุ 39 ปี ภรรยาของไรเดอร์ผู้เสียชีวิต เดินทางมาที่โรงพักเช่นกัน เพื่อติดต่อเอกสารขอรับศพสามี โดย น.ส.สายใจ ยังอยู่ในอาการโศกเศร้า ตาบวม ก่อนบอกว่า วันนี้จะไปรับศพสามีที่นิติเวช รพ.จุฬาฯ ก่อนนำไปทำพิธีทางศาสนาที่วัดคลองเตยใน เบื้องต้นได้พูดคุยกับทางตำรวจ ญาติผู้ก่อเหตุ ได้บอกผ่านกับทางเจ้าหน้าที่ และรับปากว่า จะรับผิดชอบค่าจัดงานศพให้ ส่วนเรื่องเยียวยายังไม่ได้พูดคุย ซึ่งเห็นว่าเย็นวันนี้ญาติฝั่งเขา จะเข้ามาขอขมาศพสามีแทนนายเสรีด้วย
ต่อมาตำรวจได้คุมตัวนายเสรี ไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา "ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และขับรถโดยประมาท" โดยช่วงที่เจ้าหน้าที่คุมตัวนายเสรีออกมาจากห้องคุมขัง เพื่อเดินไปยังรถควบคุมผู้ต้องหาที่จอดอยู่ข้างโรงพักนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเจ้าตัวถึงสาเหตุของการกระทำครั้งนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ และอยากพูดขอโทษถึงครอบครัวคนตายบ้างหรือไม่ เจ้าตัวไม่ตอบอะไร ได้แต่สะอื้นออกมา ก่อนขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหาไป แล้วนั่งร้องไห้โฮ กุมขมับตัวเอง
ด้าน พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เปิดเผบว่า เบื้องต้นตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยการฝากขังผู้ต้องหาวันนี้ พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เพราะมีอัตราโทษสูง และ เกรงว่าจะหลบหนี ส่วนจากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และขอให้การในชั้นศาล ไม่ให้การใดๆ เลย โดยตลอดการสอบปากคำ มีทนายความอยู่ด้วย
โดยจากพฤติการณ์ พบว่าผู้ต้องหากับผู้เสียชีวิตมีปากเสียงกันมาก่อน บริเวณใกล้แยกอโศก จนมาถึงประมาณสุขุมวิทซอย 10 ผู้เสียชีวิตได้ขับรถมาขวางรถผู้ก่อเหตุและมีการขับรถเฉี่ยว 1 รอบ และผู้เสียชีวิตทุบกระจกไป 1 ครั้ง จากนั้นผู้ต้องหาออกมาจากรถ และทำร้ายไปที่ตัวผู้เสียชีวิต จากนั้นผู้เสียชีวิตขี่รถจักรยานยนต์หนีไป และผู้ก่อเหตุขับตาม จนเกิดการเชี่ยวชน บริเวณปากซอยสุขุมวิทซอย 8 แต่ไม่แน่ใจว่ามีการยกมือไหว้หรือไม่ แต่ผู้เสียชีวิตพยายามที่จะออกจากที่เกิดเหตุแล้ว แต่ผู้ก่อเหตุยังคงขับรถติดตามมา
ทั้งนี้เท่าที่ทราบจากการสอบสวน พบอีกว่า ผู้ก่อเหตุ ดูแล้วเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก แต่ไม่มีประวัติเกี่ยวการรักษาอาการป่วยใดๆ และไม่พบสารเสพติดและแอลกอฮอล์ในร่างกาย
ส่วนครอบครัวผู้ก่อเหตุ ทราบว่า เมื่อวานนี้ได้มีการพูดคุยกับภรรยาผู้เสียชีวิต คาดว่าจะมีการพูดคุยเรื่องการรับผิดชอบ ส่วนตัวของผู้ก่อเหตุสำนึกหรือมีความรับผิดชอบหรือไม่นั้น พล.ต.ต.วิทวัฒน์ บอกว่า "เขายังนิ่ง ไม่พูดอะไร ถึงเรื่องการรับผิดชอบ ส่วนจะไปกราบศพหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ"
พล.ต.ต.วิทวัฒน์ กล่าวอีกว่า คดีนี้ ผบ.ตร. และ ผบช.น. กำชับให้ทำตามกฎหมายให้ถึงที่สุด จึงอยากให้ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตสบายใจได้ และจากการที่ตัวเองได้พูดคุยกับภรรยาผู้เสียชีวิตในวันนี้ ก็ได้ให้คำยืนยันชัดเจนว่า เรื่องของคดีความ ก็เป็นอีกเรื่องนึง ไม่เกี่ยวกับการเยียวยา เพราะจะดำเนินคดีถึงที่สุดอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือผู้เสียชีวิตเป็นกำลังหลักของครอบครัว มีลูกทั้งหมด 4 คน อยู่ในวัยเรียน 3 คน และวัยทำงาน 1 คน ซึ่งผู้เสียชีวิจจะต้องหาเลี้ยงครอบครัวทั้งหมด 7 คน หลังจากนี้ก็จะต้องเป็นเรื่องที่ครอบครัวต้องแบกรับภาระ ส่วนเรื่องของความเดือดร้อนของทางครอบครัวหลังจากนี้ ทางตำรวจยินดีเข้าไปให้การช่วยเหลือตลอดเวลา