
"สมศักดิ์" แจงอุ้มศูนย์ผู้ลี้ภัย ดูแลเฉพาะที่ส่งต่อมา หารือ WHO งบสนับสนุน
“สมศักดิ์” แจงการดูแลสุขภาพผู้ลี้ภัย ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ชายแดนไทย-เมียนมาทั้ง 7 แห่งใน 4 จังหวัด วางแนวทางรับมือผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้นแล้ว พร้อมหารือ WHO SEARO สนับสนุนงบ บุคลากร และเวชภัณฑ์
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยแนวทางบริหารจัดการ หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่หยุดให้การสนับสนุนงบประมาณโครงการด้านการดูแลสุขภาพและการคุ้มครองในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ชายแดนไทย-เมียนมา ผ่านองค์กร International Rescue Committee (IRC) เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อทบทวนนโยบายต่างประเทศ ว่า พื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ตั้งขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2527 รวม 9 แห่ง เฉพาะที่ดูแลโดย IRC มี 7 แห่ง ใน 4 จังหวัด
ได้แก่ ราชบุรี (บ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง) กาญจนบุรี (บ้านต้นยาง อ.สังขละบุรี) ตาก (บ้านนุโพ อ.อุ้มผาง, บ้านอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ, บ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง) และแม่ฮ่องสอน (บ้านแม่สุริน อ.ขุนยวม, บ้านใหม่ในสอย อ.เมือง) ผู้หนีภัยรวม 69,789 คน โดยมีสหประชาชาติ (UN) องค์กรนานาชาติต่างๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สนับสนุนงบประมาณและดูแลร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ส่วนหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ดูแลด้านสุขาภิบาลและการควบคุมป้องกันโรค เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดมาสู่คนไทย และช่วยดูแลผู้ป่วยที่ส่งมารักษาต่อกรณีเกินศักยภาพของโรงพยาบาลในค่ายเท่านั้น
การหยุดสนับสนุนดูแลค่ายผู้หนีภัยของ IRC ในช่วงนี้ อาจทำให้โรงพยาบาลในค่ายดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลผู้หนีภัยไม่ได้เต็มศักยภาพเท่าเดิม และอาจต้องส่งต่อมายังโรงพยาบาลชายแดนของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ดูแลช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชนเท่านั้น ไม่ได้เป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลชายแดนที่ต้องเข้าไปดูแลผู้หนีภัยทั้งหมด ทุกอย่างยังต้องอยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรระหว่างประเทศ คือ IRC ทั้งนี้ ได้ให้วางแผนดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบแล้ว โดยมีมาตรการเร่งด่วน
1) จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ประสานงานกับโรงพยาบาลชายแดนเพื่อรองรับผู้ป่วย มีการรายงานสถานการณ์ทุกวัน และออกแนวทางปฏิบัติให้โรงพยาบาลชายแดน พร้อม Rapid Response Team (RRT) ทำงานร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
2) จัดทีมแพทย์เคลื่อนที่จากโรงพยาบาลแม่ข่ายเข้าไปตรวจรักษาในพื้นที่พักพิงทุกสัปดาห์ โดยโรงพยาบาลชายแดนสนับสนุนบุคลากรแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพิ่มเติม ใช้ระบบ Telemedicine เพื่อลดการเดินทาง และประสานภาคประชาสังคมร่วมสนับสนุนการดูแลสุขภาพ
3) จัดระบบส่งต่อกรณีฉุกเฉินและโรคเรื้อรังไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย โดยไม่ต้องใช้เอกสารซับซ้อน จัดรถพยาบาลเฉพาะกิจ และเพิ่มงบประมาณพิเศษให้โรงพยาบาลชายแดนรองรับค่าใช้จ่ายดูแลผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น
4) สำรองยาและเวชภัณฑ์เพิ่มเติม
5) จัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
6) ควบคุมป้องกันโรคติดต่อ/โรคระบาด
โดยมาตรการระยะกลาง จะประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ขอให้ทบทวนการระงับความช่วยเหลือ และขอรับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNHCR, IOM, WHO และองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ในการจัดสรรงบประมาณชดเชย "ล่าสุด ได้มอบหมายให้นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ Ms.Saima Wazed ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO SEARO) ที่สำนักงานใหญ่องค์การอนามัยโลก ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับการสนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพ การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค และการดูแลรักษาผู้หนีภัยในศูนย์พักพิงทั้ง 4 จังหวัด และได้รับรายงานว่า Ms. Saima ได้พิจารณาความช่วยเหลือทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และเวชภัณฑ์ และจะหารือร่วมกับ Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกต่อไป" นายสมศักดิ์กล่าว