
รู้จัก "โรคไข้กาฬหลังแอ่น" ทำไมผู้แสวงบุญร่วม "พิธีฮัจย์" ควรฉีดวัคซีน
"โรคไข้กาฬหลังแอ่น" ติดเชื้อทางสารคัดหลั่ง ทำไมผู้แสวงบุญร่วม "พิธีฮัจย์" ควรฉีดวัคซีน กลับประเทศสังเกตอาการ
รู้จัก "โรคไข้กาฬหลังแอ่น" โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย "นีซีเรีย เมนิงไจทิดิส (Neisseria meningitides)" โรคที่สามารถติดต่อจากการ ไอ จาม หรือ "สารคัดหลั่ง" รวมถึงหากผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่แออัด เสี่ยงโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้ด้วย
ดังนั้นผู้ที่จะไปประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มาจากหลายเชื้อชาติทุกภูมิภาคของโลก ต้องอยู่รวมกันในสถานที่จำกัดเป็นระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ จึงมีโอกาสเกิดการระบาดได้ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร รวมทั้ง โรคไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งต้องจึงมีการฉีดวัดชีนป้องกันโรคให้ผู้แสวงบุญ ซึ่งสามารถป้องกันโรค ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคชีน ตามที่กำหนด ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำ หลังกลับสังเกตอาการป่วย 14 วัน ถ้าป่วยให้พบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทาง
ลักษณะโรค
โรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง โรคไข้กาฬหลังแอ่นเกิดในบุคคลทุกวัย พบมากทั้งในช่วงอายุ 1 เดือน- 15 ปี(25-40%) และมากกว่า 15 ปี (10-35%) โรคนี้เกิดทั่วโลกมีสาเหตุจากเชื้อ Neisseria meningitidis เชื้อนี้พบในลำคอของคนปกติ ประมาณร้อยละ 5 โดยไม่ทำให้เกิดโรค ผู้ติดเชื้อส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเกิดอาการโรค พบได้ประปรายตลอดทั้งปี และมีการระบาดในบางพื้นที่เป็นครั้งคราว
ระยะฟักตัว
ประมาณ 2-10 วัน โดยเฉลี่ย 3-4 วัน
ระยะติดต่อ
ผู้ที่สามารถแพร่เชื้อได้ คือผู้ที่ไม่มีอาการ(พาหะ) และผู้ป่วยสามารถแพร่โรคได้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อในน้ำมูก น้ำลายแล้ว ปกติเชื้อจะหมดไปจากช่องโพรงจมูกทางด้านหลัง (nasopharynx) ของผู้ป่วยภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม penicillin จะใช้ยับยั้งเชื้อได้ชั่วคราว แต่จะไม่กำจัดเชื้อให้หมดไปจากโพรงช่องปาก จมูกและคอรวมทั้งโพรงจมูกด้านหลัง (oronasopharynx)
วิธีการติดต่อ
เชื้อกระจายจากช่องปาก ช่องจมูกจากคนหนึ่งสู่อีกคนโดยตรง ผ่านระบบทางเดินหายใจ เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคได้ 3 แบบ
แบบไม่มีอาการหรืออาการน้อย เชื้อเจริญในเนโซฟาริ้งซ์ ทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่เล็กน้อย มักไม่มีอาการ ส่วนใหญ่พบกลุ่มนี้มาก และมักเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อต่อไปได้อีก
แบบเชื้อแพร่เข้ากระแสเลือดหรือเลือดเป็นพิษ (meningococcemia) เชื้อเข้าใน
กระแสเลือด โดยเลือดจะมาหล่อเลี้ยงที่ปลายหลอดเลือดเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยจะมีผื่น เลือดออกตามผิวหนัง ในรายที่รุนแรงจะมีเลือดออกในลำไส้และต่อมหมวกไต
แบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitidis) เชื้อที่เข้าเยื่อหุ้มสมองทำให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
อาการและอาการแสดง
ได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง อาจมีผื่นแดง จ้ำเลือด(pink macules)ขึ้นตามผิวหนังร่วมด้วย และอาจเกิดภาวะช็อกอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่มาด้วยอาการสำคัญ 2 อย่าง คือ
- Meningococcemia
- Acute Meningococcemia อาการเกิดอย่างฉับพลัน มีอาการปวดศีรษะ เจ็บคอและไอ เป็นอาการนำมาก่อน ตามด้วยไข้สูง หนาวสั่น ปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่ขาและหลัง นอกจากนี้ อาจมาด้วยไข้และมีผื่นแดงจ้ำขึ้นตามตัว ใน 2-3 วันต่อมา จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำจนเป็นสะเก็ดสีดำ บางทีเป็นตุ่มน้ำมีจุดแดงอยู่ตรงกลาง ส่วนใหญ่จะมีผื่นหลังไข้ขึ้น 24-48 ชั่วโมง
- Chronic Meningococcemia พบได้น้อย ส่วนใหญ่มักมีไข้ ผื่นตามผิวหนัง อาจเป็น ผื่นแดงจ้ำ ปวดและเจ็บข้ออยู่เป็นเดือน ไข้จะเป็นๆ หายๆ
-Fulminant Meningococcemia เป็นอย่างรุนแรง ระบบไหลเวียนโลหิตไม่ทำงาน อาจ ช็อคถึงเสียชีวิตได้ ในเวลาไม่นานหลังจากเริ่มมีอาการ ส่วนมากเริ่มมีอาการไข้สูงทันทีอ่อนเพลียมาก แล้วเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีหลอดเลือดตีบทั่วร่างกาย มักจะไม่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะเป็นระยะสั้นๆ แล้วเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
- Meningitis มีอาการไข้ ปวดศีรษะ คอแข็ง ซึมและสับสน อาการจะแย่ลงอย่างรวด อาจพบอาการที่แสดงถึงการระคายเคืองของเยื่อหุ้มสมอง ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะมีจ้ำเลือดออกตามผิวหนัง
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข