
"หมอสมศักดิ์" ชำแหละ 8 ข้อ ความจริง "สปสช." ระบบสุขภาพไทย
"หมอสมศักดิ์" ชำแหละ 8 ข้อ ความจริง "สปสช." ระบบสุขภาพไทยที่สังคมต้องรู้ ซัด! อย่าเน้นแต่พีอาร์สร้างภาพ หวั่น! ประชาชนเข้าใจผิด ส่งผลกระทบถึงบุคลากรทางการแพทย์
นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า อายุรแพทย์ประสาทวิทยา และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โพสต์ผ่านเฟชบุ๊ก “ความจริงของระบบสุขภาพไทย กับ สปสช. ที่สังคมต้องรู้”
1. สปสช. ซื้อการบริการต่างๆ จากโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน โดยการจ่ายค่าบริการในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งเป็นการกดราคาอย่างไม่เป็นธรรม แต่ สปสช. ก็ทำให้ทุกอย่างเป็นความสอบธรรมโดยการจัดทำประกาศ การจ่ายค่ารักษาพยาบาลออกมาอย่างเป็นทางการ โดยสถานพยาบาลของรัฐไม่มีสิทธิปฏิเสธการเข้าร่วมการบริการด้านสุขภาพของ สปสช. ได้
2. การบริหารงบประมาณของ สปสช. เป็นงบประมาณปลายปิด คือ แต่ละปีจะมีวงเงินงบประมาณจำกัดที่ได้มาตามงบประมาณรายหัวประชากร ดังนั้นถ้าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริงๆ ในแต่ละปี มีมูลค่าสูงกว่าวงเงินงบประมาณที่ สปสช. มี ทาง สปสช. ก็จ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ละหน่วยบริการเป็นอัตราส่วนของวงเงินงบประมาณที่มี เช่น ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ทาง สปสช. กำหนดว่าจะจ่ายตามค่า RW โดย 1 RW เท่ากับ 8350 บาท แต่ในไตรมาสที่ 3 และ 4 งบประมาณส่วนกองทุนผู้ป่วยในเหลือเพียง 70% ของวงเงินที่ต้องใช้ ทาง สปสช. ก็จะลดวงเงินที่จ่ายต่อ 1 RW = 8350 บาท เหลือเพียง 70% ของ 8350 บาท เป็นต้น
3. ผู้ป่วยบางรายที่ทางโรงพยาบาลให้การรักษาพยาบาลจนหายดี มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจริง แต่หลักฐานการรักษาพยาบาล หรือเอกสารเวชระเบียนผู้ป่วยมีความไม่สมบูรณ์ ไม่เป็นไปตามเกณฑ์การเบิกจ่ายของ สปสช. ที่กำหนดไว้ ทางสถานพยาบาลก็ไม่ได้รับเงินค่ารักษาผู้ป่วยรายนั้น ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
4. การจ่ายเงินค่ารักษาของ สปสช. ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังจากการรักษานั้นเสร็จสิ้น เนื่องจากมีงานด้านเอกสารต่างๆ มาก และมีขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องอีกหลายขั้นตอน ไม่รวดเร็วเหมือนบริษัทประกันชีวิตจ่ายค่ารักษาพยาบาลคืนให้โรงพยาบาล
5. สปสช. ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ว่า 30 บาทรักษาได้ทุกโรค ซึ่งอาจจะจริงถ้าเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงสุด แต่ที่ไม่จริง คือ โรงพยาบาลรักษาให้ได้ แต่ไม่สามารถรียกเก็บค่ารักษาจาก สปสช. ได้ เพราะการรักษานั้นอยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติ อยู่นอกรายการ fee schedule หรืออยู่นอกกติกาการเบิกจ่ายของ สปสช. เช่น การใส่สายสวนหลอดเลือดในผู้ป่วยมีความผิดปกติของหลอดเลือดสมองโป่งพอง มีค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000 บาท โรงพยาบาลรักษาได้ แต่ สปสช. ไม่จ่ายค่ารักษาให้เลยแม้แต่บาทเดียว
6. เงินเดือนบุคลากรของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขอยู่ในงบเหมาจ่ายรายหัวของประชากรด้วย ทำให้งบประมาณด้านการรักษาพยาบาลจริงๆ ที่ประชาชนได้รับนั้นต่ำกว่าวงเงินงบประมาณรายหัวที่ประกาศให้ทราบ
7. สปสช. มีระบบการตรวจสอบ (audit) เวชระเบียนผู้ป่วยที่ให้การรักษาไปแล้วและจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปแล้ว แต่ถ้าภายหลังจากการตรวจสอบ พบว่ามีความไม่สมบูรณ์ของเวชระเบียน หรือเอกสารการส่งเบิกไม่พบในการส่งเบิก สปสช. ก็จะมีการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลส่วนนั้นคืนจากสถานพยาบาล
8. โดยภาพรวมแล้วทาง สปสช. จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สถานพยาบาลประมาณ 55-60% ของค่ารักษาที่สถานพยาบาลเรียกเก็บ ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของสถานพยาบาลระดับต่างๆ ต่อ 1 RW ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชนประมาณ 13,000 บาท โรงพยาบาลทั่วไปประมาณ 17,000 บาท โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยประมาณ 23,000 บาท ในขณะที่ สปสช. จ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงสุดต่อ 1 RW เท่ากับ 8,350 บาท ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาค่ารักษาพยาบาลที่รัฐกำหนดไว้ให้โรงพยาบาลคิดราคาค่ารักษาพยาบาลนั้นมีราคาต่ำกว่าต้นทุนอยู่แล้ว แต่ต่ำไม่มาก มีบางรายการที่ราคากำหนดไว้สูงกว่าต้นทุน ซึ่งโรงพยาบาลพออยู่ได้ แต่จากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของ สปสช. นั้นต่ำกว่าต้นทุนมาก จึงส่งผลต่อการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ข้อเท็จจริงที่ผมเล่ามานี้มีวัตถุประสงค์ให้สังคมรับทราบความเป็นจริงว่าแต่ละโรงพยาบาลมีข้อจำกัดด้านการเงินอย่างมาก ส่งผลให้การพัฒนาระบบบริการต่างๆ เป็นไปได้ยากมาก ทั้งการเพิ่มบุคลากร การเพิ่มเทคโนโลยี เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เพราะขาดงบประมาณสนับสนุนที่เหมาะสม แล้วปัญหาทั้งหมดที่ สปสช. ต้องใช้การบริหารแบบนี้ ก็เพราะได้รับงบประมาณที่จำกัด ไม่พียงพอต่อการให้บริการด้านสุขภาพของคนไทย 75% ของทั้งประเทศ ดังนั้นการประชาสัมพันธ์ของ สปสช. ที่ให้ข้อมูลกับสังคมนั้น ผมมีความเห็นว่าต้องพูดข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้อง อย่าเน้นการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพให้ประชาชนเข้าใจไม่ถูกต้อง เพราะผลกระทบจะส่งผลถึงบุคลากรทางการแพทย์ และสถานพยาบาล
ที่มา: หมอสมศักดิ์ เทียมเก่า อายุรแพทย์ระบบประสาท