หมอแนะ 2 วิธีรักษา "โรคสายตา" ในเด็ก "ตาเข-ตาเหล่" รู้ก่อนรักษาได้
หมอแนะ 2 วิธีรักษา "โรคสายตา" ในเด็ก พ่อแม่คลายกังวล "ตาเข-ตาเหล่" รู้ก่อนรักษาได้
นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคตาเหล่ ตาเข คือ ภาวะที่การมองของตาทั้งสองข้างไม่ได้อยู่ในทิศทางเดียวกันและทำงานไม่ประสานกัน ผู้ป่วยจะใช้เพียงตาข้างที่ปกติจ้องมองวัตถุ ส่วนตาข้างที่เหล่อาจจะเบนเข้าด้านในหรือด้านนอก ขึ้นบนหรือลงล่างก็ได้ แนะนำว่าในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 1 - 3½ ปี ควรได้รับการตรวจตา หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นตาเข ตาเหล่ หรือผู้ปกครองเห็นว่าบุตรหลานมีภาวะตาเข ตาเหล่ ควรรีบนำมาพบจักษุแพทย์
หลายคนคงเข้าใจว่า โรคตาเหล่ ตาเขในเด็กสามารถหายได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะภาวะดังกล่าวอาจไม่สามารถหายได้เอง ในรายที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในระยะเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็นอย่างถาวร พัฒนาการในการมองเห็นเกิดภาวะตาขี้เกียจได้ ดังนั้นควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมในการมองเห็นของบุตรหลาน หรือพาไปตรวจเช็กสายตากับจักษุแพทย์ก่อนวัยเข้าเรียนจะช่วยป้องกันปัญหาได้
นายแพทย์เกรียงไกร นามไธสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะตาเข ตาเหล่ อาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดจากพันธุกรรม ความผิดปกติของสายตา กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต ประสบอุบัติเหตุ เนื้องอก ต้อกระจกหรือภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้การมองเห็นเสียไป วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุของโรค ตาเหล่บางชนิดสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด บางชนิดรักษาโดยการผ่าตัดเท่านั้น หรืออาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ดังนี้
1.การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้แว่นสายตาในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดตาเหล่เข้า การฝึกกล้ามเนื้อตาการรักษาด้วยยาฉีดที่กล้ามเนื้อตา นอกจากนี้ตาเหล่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะตาขี้เกียจในเด็กได้ ซึ่งหากตรวจพบต้องรีบรักษาทันที ก่อนที่จะผ่าตัดแก้ไขตาเหล่ หากเด็กอายุมากกว่า 10 ปี ผลการรักษาอาจมีประสิทธิผลลดลง อาจส่งผลให้ตาข้างนั้นมัวอย่างถาวรได้
2.การรักษาโดยการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดกล้ามเนื้อตาทำให้ตาตรง เป็นผลดีต่อการทำงานของตาช่วยทำให้การมองเห็นมีประสิทธิภาพดีขึ้น และส่งผลดีต่อพัฒนาการและบุคลิกภาพของเด็กด้วย อย่างไรก็ตามการดูแลหลังผ่าตัดมีความสำคัญ ในช่วงสัปดาห์แรกควรหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำเข้าตา เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ และควรหมั่นพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจดูอาการอย่างต่อเนื่อง
Cr.thaihealth
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"โรคต้อกระจก" เช็ก 5 สัญญาณเสี่ยง การรักษาและป้องกัน เลี่ยงภาวะตาบอด
"ตากุ้งยิง" หรือเพราะแอบดูใคร หลายคนเข้าใจแบบนี้ จริงๆ แล้วคือยังไงกันแน่
ปัญหา "สายตา" ไม่ควรมองข้าม วิธีบำรุงสายตาที่เกิดประโยชน์