ข่าว

แม่เหยื่อถูกสังหารหมกคอนโด โต้คำให้การมือมีด ยันลูกชายไม่เคยโกง

31 พ.ค. 2567

คนตายพูดไม่ได้! แม่เหยื่อถูกสังหารหมกคอนโด โต้คำให้การฆาตกร ยันลูกชายไม่เคยโกง ถามทำไมใจร้ายขนาดนี้

จากกรณี "ชายฮู้ดดำ" นายภูริณัฐ หรือ "โฟโต้" อายุ 27 ปี ใช้อาวุธมีดแทง นายไพศาล อายุ 54 ปี หมกคอนโดที่ จ.นนทบุรี และยังรื้อค้นเอาทรัพย์ของสินผู้ตาย รวมทั้งยังใช้บัตรเครดิตของผู้ตายไปรูดซื้อทองคำแท่ง เป็นเงินเกือบ 3 ล้านบาท ก่อนหนีไปกบดานที่ จ.ชุมพร กระทั่งถูกตำรวจตามจับกุมได้วันนี้ (31 พ.ค.) เบื้องต้น นายโฟโต้ ให้การอ้างว่ารู้จักกับผู้ตายมา 1 ปี  และมีปัญหาเรื่องเงิน 5 ล้านบาท ในการทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

นางบรรจง (สงวนนามสกุล) อายุ 77 ปี แม่นายไพศาล ผู้ตาย เดินทางมาที่ สภ.เมืองนนทบุรี หลังทราบว่าตำรวจจับคนร้ายได้ โดยนักข่าวนำภาพคนร้ายให้ดู เเม่ยืนยันว่าไม่เคยเห็นคนร้าย เเละไม่เชื่อว่าลูกชายโกงเงิน เพราะลูกชายไม่มีนิสัยเช่นนั้น และก็ไม่ทราบว่า ลูกชายทำธุรกิจกับใครบ้าง เพราะเขาไม่เคยเล่าให้ฟัง ลูกชายมีแต่จะให้  ยืนยันว่าลูกชายไม่มีหนี้สินที่ไหนด้วย เชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ได้ เพราะว่าคนตายนั้นพูดไม่ได้

หลังจากที่จับได้แล้ว แม่ก็อยากให้อีกฝ่ายมาขอขมาศพ ส่วนจะให้อภัยหรือไม่นั้น ตอบไม่ได้ และอยากให้คนร้ายถูกดำเนินคดีถึงที่สุด ส่วนหลังจากนี้ก็จะประสานวัดเพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป เนื่องจากว่าสามารถจับกุมคนก่อเหตุได้แล้ว ก็คิดว่าวิญญาณของลูกน่าจะไปสู่สุคติ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีคนบอกว่า เห็นวิญญาณของลูกชายเดินตามผู้ก่อเหตุไป ที่ผ่านมาลูกชายเป็นคนโกรธใครแล้วโกรธแรง เลยคิดว่าในช่วงเวลานั้น เค้าคงอยากได้รับความยุติธรรม

นางบรรจง กล่าวอีกว่า เมื่อ 2 วันก่อน แม่เลยได้จุดธูปบอกลูกชายว่า ขอให้สามารถจับคนร้ายให้ได้โดยเร็ว เมื่อวันนี้จับได้แล้วคิดว่า วิญญาณลูกชายน่าจะสงบสุข สุดท้ายนี้พร้อมกับอยาก ถามคนร้ายว่า ทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้

ด้าน หลานสาวผู้ตาย เปิดเผยว่า ตอนนี้เงินในบัญชีและทรัพย์สินของอา หายไปรวมกว่า 1.5 ล้านบาท ส่วนกรณีที่คนร้าย ส่งไลน์มาลวง ขอกระเป๋าสตางค์ เเละ ให้ส่งเอกสารบัญชีธนาคาร การทำธุรกิจ และยังส่งส่งภาพที่เซลฟีกับคนร้ายมาให้ดู ตอนนั้นเห็นเพียงครึ่งหน้า เพราะในภาพใส่เเมสก์ ใส่หมวก เเต่ก็เริ่มเเปลกใจว่าใช่อาตนเองหรือไม่ จึงนำรูปให้พี่สาวดู เเต่พอตกเย็นไลน์ก็ถูกลบออกไป 

ด้าน นายฉัตรชัย พี่ชายผู้ตาย ไม่เชื่อที่คนร้ายอ้างว่าถูกโกง เพราะน้องชายทำธุรกิจเพียงตนเดียว ตั้งเเต่สมัยก่อนที่จะไปจีน ทำธุรกิจของเขาด้วยตนเองตลอด ไม่เคยทำธุรกิจร่วมกับใคร พอฆาตกรจนมุม ก็อ้างไปเรื่อย คนตายพูดไม่ได้ มั่นใจว่า น้องชายของตัวเองไม่มีหนี้สิน และอยากให้คิดถึงหลักความเป็นจริงว่า คนก่อเหตุอายุ 27 ปี ตอนอยู่ในลิฟต์ครั้งสุดท้าย ก็พูดขึ้นมาว่าไม่มีเงิน แล้วแบบนี้จะไปทำธุรกิจได้ยังไง

 

พี่ชายคนตาย เตรียมดำเนินคดีร้านทอง - ธนาคาร

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า น้องชายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ขนาดไปจีนก็ยังไม่จ้างคนยกกระเป๋าเลย แบกเองทำเองมาตลอด เค้าหาเงินของเขาเองทุกอย่าง ตนจึงไม่เชื่อว่าน้องชายมีหนี้สิน มองว่าตอนนี้คนร้ายจนมุม ก็ต้องหาข้ออ้าง ส่วนตัวเชื่อว่า คนร้ายมาขอเงินแล้วน้องไม่ให้ จึงทำร้ายน้องของตน ด้วยการใช้มีดแทงถึง 15 แผล เพื่อคาดคั้นเอาข้อมูล ตอนนี้ทางครอบครัวติดใจเรื่องการซื้อทอง คนร้ายนำโทรศัพท์มือถือของผู้ตายไปสแกน QR Code ซื้อทองคำที่ร้านทองแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าว ล้านกว่าบาท โดยคนร้ายได้สวมบัตรประชาชนของผู้ตาย

โดยคนร้ายอ้างกับเจ้าของร้านทั้ง 2 แห่งว่า ไปศัลยกรรมมา จึงทำให้หน้าตาตัวจริงไม่เหมือนในบัตร  เรื่องนี้จะมีการดำเนินคดีกับร้านทอง ธนาคาร ที่ปล่อยปละละเลย ให้คนร้ายสวมรอยเหยื่อได้อย่างง่ายดาย และยังติดใจนิติบุคคลของคอนโด ไม่รีบแจ้งความหลังเกิดเหตุ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องชาย ต้องทำให้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะกว่าที่จะจ่ายเงินหลักล้านได้ มันต้องมีขั้นตอนการยืนยันตัวตนหลานอย่าง ถึงจะสามารถซื้อทองได้

แต่ในกรณีนี้เอกชนเห็นแก่การขายทองมากเกินไปหรือไม่ เพราะว่าเวลาอีกฝ่ายไปทำธุรกรรมการเงิน ก็สวมใส่เสื้อฮู้ด ใส่แมสก์ ใส่แว่นดำปิดบังใบหน้าตลอดเวลา แต่ก็สามารถทำธุรกรรมได้ รวมไปถึงแอปพลิเคชันธนาคาร เวลาที่เราจะโอนเงินในจำนวนมากยังต้องสแกนหน้าเลย หรือทำทุกอย่างเพื่อยืนยันตัวตน แต่กรณีที่เกิดขึ้นเหมือนแหกกฎ ปล่อยปละหละหลวม