นักธุรกิจผ้าม้วน ร้องถูก "ด.ต." ชักดาบ สั่งซื้อผ้า สูญ 1.3 ล้าน หวั่นอันตรายโดนข่มขู่
นักธุรกิจผ้าม้วน ร้องทนายรณรงค์ ถูก "ดาบตำรวจ" ชักดาบ สั่งซื้อผ้าเย็บกระโปรงทรงเอ สูญ 1.3 ล้าน หวั่นอันตรายเพราะคู่กรณีใช้ข่มขู่
วันที่ 28 มิ.ย. 2567 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถ.แจ้งวัฒนะต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายเอกศิษฐ์ เสกพงศ์พัชร์ อาย 44 ปี เจ้าของร้านขายผ้าม้วน ย่านห้วยขวาง กทม.เดินทางมาร้องเรียนที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ให้ช่วยเหลือ
หลังถูก “ดาบตำรวจ” นายหนึ่ง ชักดาบ! สั่งซื้อผ้าจากร้านเพื่อไปตัดเย็บกระโปรงขาย แต่ไม่จ่ายเงินเกือบ 1 ล้านบาท ที่ผ่านมาเคยถูกข่มขู่เอาชีวิตเพราะจะไม่จ่ายหนี้ เจ้าของร้านวอนช่วยเหลือเพราะต้องนำเงินมาใช้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกสาว
นายเอกศิษฐ์ กล่าวว่า ตนเปิดร้านขายผ้าม้วน และได้เริ่มรู้จักซื้อขายผ้ากับดาบตำรวจคนนี้เมื่อปี 2549 ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีเป็นดาบตำรวจอยู่ที่กองบินตำรวจและติดต่อซื้อผ้าเพื่อไปตัดเป็นกระโปรงทรงเอ
จากนั้นเริ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้นถึงขั้นที่ตัวเองไว้ใจจนกระทั่งปี 2555 ดาบตำรวจคนนี้ได้สั่งผ้าไปจำนวนหลายล็อตซึ่งเป็นจำนวนเงินหลายแสนบาท โดยแต่ละครั้งที่สั่งคู่กรณีมักอ้างว่าขอติดไว้ก่อนเดี๋ยวจ่ายให้ที่เดียว จนมาดูยอดเงินทั้งหมดที่คู่กรณีติดพบว่าเป็นยอดเงินที่ทางดาบตำรวจคนนี้ต้องจ่ายคืนเงินประมาณ 1.3 ล้านบาท
เมื่อทวงถามดาบตำรวจจึงอ้างว่าจะผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนเดือนละ 20,000 บาท แต่ชำระเงินได้เพียง 9 เดือน เป็นจำนวนเงิน 180,000 บาท จากนั้นคู่กรณีก็ไม่ได้ทำการคืนเงินและหายไป
กระทั่งวันที่ 17-18 มีนาคม 2555 ตนได้ให้ลูกน้องที่เป็นคนขับรถส่งผ้า โทรศัพท์ไปทวงถามแต่ดาบตำรวจคนนี้ ข่มขู่กลับมา อีกทั้งยังไม่คืนเงิน จากนั้นเวลา 19:00 น. ตนเดินทางไปพบกับดาบตำรวจ เพราะภรรยาดาบตำรวจนัดเจรจากันไว้ ซึ่งเจราจากันอยู่พักใหญ่ ดาบตำรวจได้เดินไปหยิบปืนออกจากกระเป๋ามาไว้ข้างลำตัวพร้อมพูดข่มขู่ตัวเองว่า “ระวังจะอยู่แถวนี้ไม่ได้นะ”
ด้วยความกลัวตนจึงตัดสินใจกลับบ้าน จากนั้นได้ติดต่อคู่กรณีให้คืนเงินภายในระยะเวลาสามเดือน แต่ผ่านมา 3 เดือนดาบตำรวจก็เงียบหาย จึงตัดสินใจจ้างทนายฟ้องร้องจนหมายศาลส่งไปถึงหน้าบ้านคู่กรณี ทำให้คู่กรณีกลับมาแจ้งความตน ในข้อหาบุกรุกทั้งกลางวันและกลางคืน จนทำให้ตนต้องมาสู้คดีกันในชั้นศาล
โดยศาลให้ทั้งตนและคู่กรณีไปเจรจาไกล่เกลี่ย ซึ่งทางคู่กรณีบอกกับตนว่าถ้าอยากจะให้ถอนฟ้องในคดีบุกรุก ก็ต้องยอมรับข้อเสนอที่เขาจะจ่ายเงินให้กับตนแค่ 100,000 บาทจากยอด 940,000 บาท โดยอ้างว่าไม่เคยสั่งซื้อผ้าเหล่านี้ แต่ตนมีหลักฐานเป็นบิลการสั่งซื้อผ้าที่จดบันทึกไว้ ส่วนที่ตนต้องยอมทำตามเพราะกลัวคู่กรณี เเละถูกข่มขู่ จากนั้นคู่กรณีจึงถอนฟ้องในคดีบุกรุก แ
ละเริ่มโอนเงินให้กับตนเดือนละ 3,000 บาท โดยโอนมาแค่ 5 เดือน เป็นเงินทั้งหมด 15,000 บาทหลังจากนั้นดาบตำรวจก็ไม่เคยติดต่อมาคืนเงินอีกเลย จนเวลาผ่านมาเกือบ 10 ปีถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน ที่ผ่านมาไม่กล้าแจ้งความ เพราะกลัว ดาบตำรวจคนนี้เนื่องจากเป็นทั้งตำรวจและมีอาวุธปืน
นายเอกศิษฐ์ เล่าอีกว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินเก็บสะสมของตัวเองกับแฟนสาว ซึ่งเป็นเงินสำคัญเพราะจะนำเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับลูกสาว ส่วนตัวก็อยากให้ดาบตำรวจเห็นใจและคืนเงินก้อนนี้ให้หมด
ด้าย ทนายหนุ่ย หรือ นายชาญชัย ฉายบุ ทนายที่ปรึกษา เผยว่า เบื้องต้นผู้เสียหายทำการยื่นฟ้องศาลแพ่ง โดยศาลมีคำพิพากษาคดีนี้เป็นคดีซื้อขายของกัน และให้จำเลยชำระเงิน 978,504 แสนบาท แก่โจทย์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 948,680 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป คือวันที่ 29 กรกฎาคม 2558
แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ไม่ได้เงินจากดาบตำรวจท่านนี้เลย โดยอายุบังคับคดีหลังมีคำพิพากษา มีอายุความคือ 10 ปี ซึ่งตอนนี้เข้าปีที่ 8 หากไม่สามารถบังคับคดีได้ก็จะหมดอายุความ
ขณะที่ นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รอง ปธ.มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เผยว่า จากการสืบค้นทราบว่าคู่กรณีย้ายออกจากกองบินตำรวจไปแล้ว แต่ยังเป็นดาบตำรวจ เพราะเมื่อไปสืบค้นพบว่า ปี 67 นี้
ดาบตำรวจได้ทำการซื้อปืน เป็นจำนวน 28,000 บาท โดยเงินส่วนนี้ส่วนตัวมองว่าหากเอามาคืนผู้เสียหายจะดีกว่าหรือไม่ และฝากถึงดาบตำรวจคนนี้ว่า ให้เวลา 3 วันในการติดต่อเข้ามาพูดคุยกัน และหากไม่มีการติดต่อเข้ามา จะทำหนังสือไปถึงกองวินัยสำนักกำลังพล ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ตรวจสอบว่าผิดวินัยหรือไม่