เจ้าของคาเฟ่ดัง งัดหลักฐานโต้กลับ สองแม่เฒ่า ยันได้ที่ดินมาอย่างถูกต้อง
เจ้าของคาเฟ่ดัง งัดหลักฐานโต้กลับ สองแม่เฒ่า ยันได้ที่ดินมาอย่างถูกต้อง พร้อมต่อสู้พิสูจน์ความจริงในชั้นศาล เผย ให้อภัย แม้โดนเผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง
จากกรณี นางสมบูรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 73 ปี และนางนารี (สงวนนามสกุล) อายุ 73 ปี สองแม่เฒ่า ชาว จ.กาญจนบุรี เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งกลุ่มนายทุน เข้ามาบุกรุกฮุบที่ดิน 3 ไร่ ของบรรพบุรุษไปอย่างหน้าตาเฉย ปัจจุบันเปิดร้านกาแฟ ลานกางเต็นท์ ให้บริการนักท่องเที่ยวใหญ่โต สุดอัดอั้นหลายปีที่ผ่านมา ไปร้องเรียนหลายหน่วยงานไม่มีความคืบหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
9 ก.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังที่ดินที่คุณยายทั้งสองอ้างว่า ถูกกลุ่มนายทุนบุกยึด ได้พบกับนางเกษราภรณ์ อายุ 48 ปี เจ้าของร้านกาแฟและลานกางเต็นท์ดังกล่าว โดย นางเกษราภรณ์ เปิดใจว่า จากกระแสสังคมทำให้ครอบครัวถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม และโจมตีอย่างหนัก ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันว่า ตนและครอบครัวเป็นคนพื้นที่ ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มาตั้งแต่เกิด ไม่ได้เป็นกลุ่มนายทุน หรือผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาแย่งที่ดินจากคุณยายทั้งสองคนแต่อย่างใด
นางเกษราภรณ์ ยังได้นำเอกสาร จากกรมชลประทาน สมัยที่มีการเวนคืนที่ดิน บริเวณริมแม่น้ำแม่กลอง เพื่อก่อสร้างเขื่อนแม่กลอง เมื่อปี 2532 ซึ่งได้ระบุชื่อเจ้าของผู้ครอบครองที่ดิน ทั้ง 3 แปลงที่เกิดข้อพิพาทกันขึ้น ประกอบด้วย แปลงที่ 1 เนื้อที่ 1 ไร่ ระบุชื่อผู้ครอบครอง คือ นางสมบูรณ์ ซิมแข แปลงที่ 2 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน ระบุชื่อผู้ครอบครองคือ นายเลอชัย บัวลังกา และแปลงที่ 3 เนื้อที่ 1 ไร่ ระบุชื่อผู้ครอบครอง คือ นางดำ วรรณวงศ์
ซึ่งในการก่อสร้างเขื่อนแม่กลอง เมื่อปี 2532 ทางกรมชลประทานได้มีการเวนคืนที่ดิน ทั้ง 3 แปลง พร้อมจ่ายเงินค่าเวนคืนให้กับเจ้าของที่ดินทั้ง 3 แปลงไปเรียบร้อยแล้ว กระทั่งหลังการก่อสร้างเขื่อนแม่กลองเสร็จเรียบร้อย พื้นที่ทั้ง 3 แปลง ซึ่งไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ก็ถูกส่งมอบคืนให้กับกรมธนารักษ์ และกรมธนารักษ์ได้เปิดให้ประชาชนซึ่งมีชื่อเป็นผู้ครอบครองอยู่เดิมสามารถเข้ามาขอเช่าพื้นที่เพื่อทำมาหากินและทำการเกษตรได้
โดยในที่ดินแปลงที่ 3 ซึ่งเป็นชื่อของนางดำ วรรณวงศ์ แม่ของนางสมบูรณ์ อายุ 73 ปี พี่ออกมาร้องเรียนกับสื่อมวลชนนั้น ทางกรมธนารักษ์ก็ได้ให้ทางครอบครัวของนางสมบูรณ์เช่าพื้นที่ทำกินไปตามปกติ โดยที่ฝั่งของพวกตนไม่ได้เข้าไปรุกล้ำหรือบุกรุกแย่งชิงที่ดินมาแต่อย่างใด เพราะที่ดินที่ตนและครอบครัวเข้ามาเช่าและสร้างร้านกาแฟ รวมถึงลานกางเต็นท์นั้น เป็นที่ดินในแปลงที่ 1 และ 2 ที่มีชื่อผู้ครอบครอง คือนางขวัญเมือง ซิมแข และนายเลอชัย บัวลังกา
โดยหลังจากที่กรมชลประทาน เปิดให้ประชาชนผู้มีชื่อครอบครองที่ดินเดิมสามารถยื่นเรื่องขอเช่าที่กับกรมชลประทานเพื่อเข้ามาทำมาหากินได้นั้น ในที่ดินแปลงที่ 1 ซึ่งเป็นของ นางขวัญเมือง ซิมแข ซึ่งเป็นแม่ของนางนารี สารทเวช 1 ในสองคุณยายที่ออกมาร้องขอความเป็นธรรม ได้ให้สิทธิ์กับนายมานพ เกตุบุตร ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางนารี เข้ามาปรับพื้นที่และทำการเกษตร กระทั่งในเวลาต่อมา นายมานพ มีปัญหาเรื่องการเงิน จึงได้นำเอาที่ดินแปลงที่ 1 มาขายให้กับแม่ของตน มีหนังสือยืนยันการซื้อขายเป็นหลักฐานสำคัญที่ตนใช้แสดง ถึงการได้มาครอบครองที่ดินแปลงที่ 1 อย่างถูกต้อง
ส่วนที่ดินแปลงที่ 2 ในชื่อของนายเลอชัย นั้น หลังกรมชลประทาน เปิดให้ผู้ครอบครองเดิมมาลงชื่อขอเช่าที่ดิน ปรากฏว่านายเลยชัย และครอบครัว ไม่ได้มาแสดงความจำนงขอเช่าพื้นที่และปล่อยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รกร้าง ทางแม่ของตนจึงได้ไปทำเรื่องขอเช่าพื้นที่แปลงที่ 2 กับทางกรมชลประทานด้วย ซึ่งหลังจากกรมชลประทานส่งมอบพื้นที่ที่ถูกเวนคืน ให้กับกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแล แม่ของตนก็ได้ไปทำเรื่องขอเช่าที่ดินในแปลงที่ 1 และ 2 กับกรมธนารักษ์อย่างถูกต้อง แต่ติดปัญหาเนื่องจากมีข้อพิพาท กับครอบครัวของนางสมบูรณ์ เจริญพร ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงที่ 3 จนทำให้ในปัจจุบันทางกรมธนารักษ์ยังไม่สามารถออกหนังสือเช่าที่ดินทั้ง 2 แปลงให้กับตนได้
นางเกษราภรณ์ ตนยืนยันว่า การได้มาซึ่งที่ดินแปลงที่ 1 และ 2 เป็นไปอย่างถูกต้องไม่ได้เป็นการไปยึดมาจากผู้ถือครองรายเดิมแต่อย่างใด อีกทั้ง ที่นางสมบูรณ์ อ้างว่าตนไปบุกรุกที่ดินแปลงที่ 3 ของนางสมบูรณ์ ด้วยนั้น ตนได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ให้มาสำรวจพื้นที่ และรังวัดขนาดที่ดินทั้ง 3 แปลง เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินแปลงที่ 3 ของนางสมบูรณ์แต่อย่างใด ทั้งนี้ ตนและครอบครัวพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินทั้ง 2 แปลงของตนให้เรียบร้อย
ส่วนเรื่องที่ นางสมบูรณ์ และนางนารี ออกมาให้ข่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง รวมถึงทำพิธีเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งตนเองและครอบครัวนั้น ตนเองไม่ได้ติดใจอะไร และพร้อมที่จะให้อภัย โดยเชื่อว่าผลของการเผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง จะไปตกอยู่กับผู้ที่กระทำการอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่ตนเองและครอบครัวอย่างแน่นอน