"แหม่ม มนัญญา" หญิงแกร่งแห่งดอนหมื่นแสน
คอลัมน์ 'คนในข่าว' หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 5 ต.ค.62
************************
บอกเลยตอนที่ได้ยินข่าวว่า “มนัญญา ดอนหมื่นแสน” หรือ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ น้องสาวของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี นั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ
คนไทยยังแสยะยิ้มกันอยู่เลยว่า “น้องนั่ง-พี่คุม” ถึงไม่ใช่ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” ที่ตกรุ่นไปแล้วแต่ก็คงไม่ต่างกัน อย่างดี “เบแหม่ม” ก็น่าเป็นดอกไม้งามท่ามกลาง รมต.ชาย แห่งกระทรวงพระพิรุณทรงนาค
แต่ๆๆ ช่วงระยะเวลานับแต่เธอเริ่มทำงาน ออกลุยเรื่องเลิกสารพิษนำเข้า ปรากฏว่าได้ขโมยซีนและหัวใจคนไทยไปไม่น้อยทีเดียว ถึงกับมีคำถามแซวแรงๆ ว่ากระทรวงนี้มีรัฐมนตรีหญิงคนเดียวหรือเปล่า (ฮา)
วันนี้ถ้าลองมองเธอใหม่อีกครั้งอาจจะพบว่า แม้ก้าวย่างของเบแหม่มจะอิงเอนไปตามเข็มทิศที่ผู้เป็นพี่ชายถืออยู่ แต่บางทีหลังจากนี้เบแหม่มในวัย 57 คงได้เขียนตำนานของตัวเอง!
น้องสาวผู้มีอิทธิพล?
มนัญญา ไทยเศรษฐ์ เป็นลูกสาวของพ่อเดชา และแม่ปาลี้ ไทยเศรษฐ์ คหบดีรายใหญ่ใน จ.อุทัยธานี ชีวิตเติบโตมาไม่ต่างกับพี่ชาย เพราะบ้านทำเรื่องของการค้าเนื้อวัว-ควาย อยู่ย่านลุ่มน้ำสะแกกรัง
พ่อเดชานั้นเดิมทีเป็นคนอุทัยธานี ส่วนแม่เป็นคน จ.กาญจนบุรี ดูจากหน้าตาคนบ้านนี้ที่ดูดีทั้งบ้าน ก็เพราะรุ่นปู่มีเชื้อสายปากีสถาน ส่วนย่ามีเชื้อสายมอญ ส่วนฝ่ายคุณยายเป็นไทยแท้
พ่อของชาดานั้น เคยทำกิจการรับบรรทุกไม้ซุง แต่พอหันมาค้าวัว ค้าควายส่งออกต่างประเทศและขายเนื้อในตลาดอุทัยธานีก็ร่ำรวยขึ้นเป็นเศรษฐี
พี่ชายที่แสนดี น้องสาวที่สุดรัก
เบแหม่มนั้น นอกจากมีพี่ชายคนรองชื่อชาดาแล้ว เธอยังมีพี่ชายคนโตอีกคนชื่อ “ชัยยศ” ไม่ต้องบอกก็เดาออกว่า เบแหม่ผู้สวยคมจะเป็นน้องสาวคนเล็กที่พี่ชายสุดรักสุดหวงขนาดไหน
หากเส้นทางของคนใหญ่คนโตบางครั้งก็ไม่สวยงาม ปรากฏว่าช่วงปี 2511 ตั้งแต่ที่พวกเขายังอยู่ในวัยเด็ก พ่อของพวกเขาถูกยิงเสียชีวิต พอผ่านมา 7 ปีต่อมาแม่ก็ถูกยิงเสียชีวิตอีกคน
แถม 7 เดือนต่อมาพี่ชายคนโตที่มารับช่วงค้าเนื้อก็ถูกยิงเสียชีวิตตามไปอีก ทั้งหมดสังเวยให้ธุรกิจค้าเนื้อที่มีการแข่งขันผลประโยชน์สูง เรื่องนี้ชาดาเคยเล่าไว้กับสื่อมุสลิมโพสต์
ที่สุดการที่บ้านนี้เหลือแค่ชาดากับมนัญญาสองพี่น้อง จึงไม่น่าแปลกใจ ที่คนเขาพูดกันว่าพี่น้องคู่นี้รักกันสุดๆ จะเป็นความจริงแท้
ในวัยเด็ก เบแหม่มมีประวัติการศึกษาว่าเรียนที่โรงเรียนอุทัยวิทยาคมบ้านเกิด จากนั้นจบปริญญาตรีที่คณะศึกษาศาสตร์ มรภ.สวนดุสิต และอีกใบที่คณะบริหารธุรกิจ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
ที่สุดเมื่อพี่ชายคนรองเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นมากลายเป็นผู้กว้างขวางแห่งอุทัยธานี เข้าตำราคนจริง ใจถึง พึ่งได้ ดูแลคนทั้งจังหวัด จนถึงวันนี้ เขาเป็นถึงส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องนึกเลยว่าน้องสาวอย่างเบแหม่มจะได้รับอานิสงส์ในคุณสมบัติเหล่านี้ของพี่ชายมากมายขนาดไหน
สืบทอดความยิ่งใหญ่
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือต่อมาราวปี 2550 ชาดาผู้เป็นพี่ชายได้ตัดสินใจลาออกจากการเมืองท้องถิ่นที่เขาโลดแล่นมาตั้งแต่ปี 2533 จนมาสุดทางที่เก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี
แต่การหันไปเล่นการเมืองระดับชาติของชาดา ก็ถือว่ามาถูก เพราะเขาได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.อุทัยธานี ทั้งตอนที่สังกัดพรรคชาติไทยในปี 2550 และตอนเลือกตั้งปี 2554 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา
นับแต่จุดนั้น “เบแหม่ม” ก็ก้าวขึ้นมานั่งแทนพี่ชายในเก้าอี้นายกเล็กเมืองอุทัย สานงานต่อพี่ ชนะเลือกตั้งท้องถิ่นในปี 2554
ดังที่รู้อุทัยธานีเป็นจังหวัดขนาดกลางตรงรอยต่อภาคกลางกับภาคเหนือ ตระกูลการเมืองของอุทัย ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นก็มีอยู่ 5-6 ตระกูล คือ ทุ่งทอง, นุ้ยปรี, มงคลศิริ, เหลืองบริบูรณ์, โต๋วสัจจา และไทยเศรษฐ์
แต่ดูเหมือนว่าคนใหญ่แห่งตระกูลไทยเศรษฐ์จะสร้างผลงานเข้าตาชาวอุทัยได้อย่างจะแจ้งที่สุด โดยเฉพาะการตั้ง “สมาคมชาวไร่อ้อยไทยเศรษฐ์” จ.อุทัยธานี ของชาดา และการนำชาวไร่อ้อยอุทัยธานีเข้าสู่การเป็นสมาชิกสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ทำให้คนนามสกุลไทยเศรษฐ์อยูในใจชาวบ้านตลอดมา
เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ ผู้ซึ่งเดินตามรอยลุงและแม่เข้าสู่เส้นทางการเมือง
ดังนั้นการทำงานการเมืองท้องถิ่นของ “เบแหม่ม” ที่โลดแล่นมานับ 10 ปีต่อจากพี่ชายจึงไมใช่แค่โชคช่วย เพราะแม้แต่ “กลุ่มคุณธรรม” ที่พี่ชายก่อตั้งขึ้นโดยจับมือกับคนตระกูลเหลืองบริบูรณ์จนประสบความสำเร็จ ก็คือพลังที่ส่งต่อให้เบแหม่มสานงานดูแลต่อไปอย่างไม่ยากเย็นนัก
อย่างไรก็ตามระหว่างนั้นชีวิตส่วนตัวของเบแหม่มก็สมรสมีครอบครัว และมีทายาททั้งหมด 5 คน หนึ่งในนั้นคือ "ชาร์จ" เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ ผู้ซึ่งเดินตามรอยลุงและแม่เข้าสู่เส้นทางการเมือง
แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดเหตุเพราะฟารุต ลูกชายของชาดาวัย 28 ปีในขณะนั้นผู้ซึ่งเป็นความหวังของพ่อให้ลงการเมืองที่เขต 1 ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ขณะที่ชาดานั่งอยู่บนรถอีกคัน ว่ากันว่าเป็นการยิงผิดตัว
เมื่อหวยมาลงที่หลานชาย เจเศรษฐ์ ชาดาก็ทั้งปั้นทั้งดันเต็มที่จนลูกชายของน้องสาวสุดที่รักได้เป็นส.ส.เขต 1 อุทัยธานี ในการเลือกตั้งรอบนี้สำเร็จ
มาแรงทั้งบ้าน
สนามการเมืองใหญ่ในพื้นที่อุทัยธานีนั้น นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.มากครั้งที่สุดคือ 6 สมัย คือ พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ แต่ตระกูล “ไทยเศรษฐ์” มาทีหลัง ก็ขยับยึดพื้นที่สนามการเมืองอุทัยธานี
“ชาดา” มีภาพลักษณ์เป็นเจ้าพ่อในสายตาฝ่ายความมั่นคงยุคหนึ่ง และคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ สำหรับชาวลุ่มน้ำสะแกกรัง มองว่าชาดาเป็น “ผู้ดูแลทุกข์สุข” ของชาวบ้าน ใครเดือดร้อนก็ตรงไปหา “บ้านดอนหมื่นแสน” ต.ดอนขวาง อ.เมือง จ.อุทัยธานี บ้านพักของชาดา ก็ได้รับความช่วยเหลือทันที
พอมาถึงยุคของเบเหม่ม ช่วงที่คนไทยเริ่มได้ยินกระแสข่าวว่า รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ จะมีชื่อน้องสาวของชาดามานั่งแทนพี่ชาย ด้วยข่าวเม้าท์ว่าคนใหญ่ในรัฐบาลไม่ปลื้มภาพลักษณ์ความเป็นผู้มีอิทธิพลของฝ่ายพี่
สองหนุ่มไทยเศรษฐ์ ผู้แทนชาวอุทัย
ช่วงนั้นเบแหม่มก็ถูกขุดคุ้ยข่าวเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับโครงการบ่อบำบัดร้าง จ.อุทัยธานี ซึ่งผู้รับเหมาเบิกเงินเกือบ 300 ล้านบาทไปแล้ว แต่สร้างไม่เสร็จ และขอใช้งบอีก 247 ล้านบาทเพื่อสร้างต่อ โดยออกประกาศประกวดราคา ก่อนยกเลิกหลัง สตง.ทักท้วง
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่สุดทั้ง เบแหม่ม เจเศรษฐ์-ลูกชาย และ ชาดา-พี่ชาย ในฐานะส.ส.พรรคภูมิใจไทย ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองซีกรัฐบาล แถมเบแหม่ก็ก้าวขึ้นมาโดยไม่ต้องเป็นส.ส. มีชื่อเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ แทนพี่ชายที่เสียสละยกตำแหน่งให้
หากทั้งหมดนี้ก็คงเพราะพลังของพี่ชายที่สร้างผลงานในพื้นที่รอยต่อภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ทั้งอุทัยธานีและนครสวรรค์ได้มาถึง 3 เก้าอี้รวมกัน งานนี้เก้าอี้รัฐมนตรีในโควตาค่ายสีน้ำเงินจะหนีคนบ้าน ‘ไทยเศรษฐ์’ ไปไหน
สวย ดุ เผ็ด
อย่างที่เกริ่นว่าเห็นสวยๆ อย่างนี้น่ากลัวจะเป็นแค่ไม้ประดับ แต่ภาพที่เห็นคือตรงกันข้าม
หลังเข้าทำงานวันแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2562 พร้อมด้วย เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรมช.อีก 2 คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ประภัตร โพธสุธน
วันนั้นข่าวระบุว่า “เสี่ยต่อ” เจ้ากระทรวง กล่าวถึงปัญหาเร่งด่วนว่าให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารจัดการน้ำก่อนเป็นอันดับแรก
ส่วนเรื่องการใช้สารเคมี 3 ตัว (ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส และพาราควอต) ที่ภาคประชาสังคมมีการต่อต้าน เสี่ยต่อแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “เหรียญมีสองด้าน” ต้องขอความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและมีคณะทำงานที่กำลังดำเนินการอยู่ ยืนยันว่าจะเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ประชาชน ส่วนรมช.คนอื่นๆ ก็ว่ากันไปตามน้ำ
จะมีแต่เบแหม่มที่หลังจากนั้นคนไทยได้เห็นแต่พาดหัวข่าวชนิดสวย ดุ เผ็ด เช่น ‘มนัญญา’ บุกกรมวิชาการเกษตร ทวงเอกสารสต็อกสารเคมีพิษ, ‘มนัญญา‘ บุกคลังสารเคมี หวั่นสารพิษเล็ดลอด ลุยแบนนำเข้าใน 60 วัน หรือ มนัญญา ลุยแบน 3 สารพิษ จี้เปิดผลโหวตเพื่อประโยชน์สาธารณชน!
แม้จนถึงวันนี้ข่าวการทำงานในเรื่องนี้ก็ยังคง “ออนแทร็ค” ไว้ที่ “ยืนยันพร้อมยกเลิก 3 สารเคมี!!” โดยจะมีการประชุมในวันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม เพื่อดำเนินการหาแนวทางในการยกเลิกสารเคมีดังกล่าวต่อไป
เรื่องนี้ทางหนึ่งหลายคนบอกว่านี่คือการแอ็กชั่นไปงั้นเพื่อลดแรงกดดันจากภาคประชาสังคมที่เรียกร้องให้ยกเลิกสารเคมีเหล่านี้มานาน...จนน้ำลายจะกลายเป็นเลือด
แต่อีกทางหนึ่งบอกตรงๆ ว่าคนไทยไม่เคยเห็นรัฐมนตรีหญิงคนไหนที่ทั้งสวยทั้งลุยได้ขนาดนี้เลยจริงๆ
**************************