"บิ๊กตู่" รอดชีวิต คณะรัฐประหารเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย
"รังสิมันต์ โรม" ซัด "บิ๊กตู่" ควรถูกลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.113 แต่เพราะมีคำพิพากษารับรองให้คณะรัฐประหารเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย
รัฐสภา 6 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาญัตติด่วน เพื่อขอให้สภาฯ ตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต ตามที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นผู้เสนอ ตั้งแต่ช่วงเวลา 10.45 น. จนถึงเวลา 17.30 น. มี ส.ส. ใช้สิทธิ์อภิปรายรวม 35 คน และยังมี ส.ส. แสดงเจตจำนงขออภิปรายอีกจำนวนมาก ทำให้ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ฐานะประธานในที่ประชุม ขอเลื่อนการพิจารณาไปสัปดาห์หน้าก่อนจะปิดประชุม
อ่านข่าว - "บิ๊กตู่" เหมาะสมเป็น กมธ.แก้รัฐประหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศการอภิปรายว่าเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยมี ส.ส. อภิปรายสนับสนุนและคัดค้านญัตติ อย่างไรก็ดี ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่ เช่น น.ส.พรรณิการ์ วาณิช ส.ส. บัญชีรายชื่อ , นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ อภิปรายสนับสนุนญัตติ แต่ระหว่างการอภิปรายย้ำถึงการรัฐประหารสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 คือ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และควรถูกลงโทษ
โดยนายรังสิมันต์ กล่าวตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องขึ้นศาล และอาจจะมีคำพิพากษา แต่วันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะองค์กรตุลาการ องค์กรศาล ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้จริง เพราะเคยมีคำพิพากษารับรองให้คณะรัฐประหารเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ อภิปรายว่า การรัฐประหารเหมือนไวรัสเอชไอวี ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องทั้งระบบ อาการป่วยไข้ที่เกิดจากไวรัสรัฐประหารที่ยังไม่มีคนพูดถึงมากนักคือ จุดยืนที่ตกต่ำของไทยในเวทีโลก ตนเกิดในยุคที่ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก ในยุคที่ประเทศไทยเป็นประทีปแห่งความหวังของภูมิภาค แต่เมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2549 บทบาทของไทยที่เคยเป็นผู้นำของภูมิภาคก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ การต่างประเทศของไทยแทนที่จะใช้นโยบายทางการทูตเจรจาต่อรองกับต่างประเทศ เพื่อปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของคนไทย กลับกลายเป็นเครื่องมือไล่ล่านักการเมืองเพียงคนเดียว เอาผลประโยชน์ของประเทศไปเจรจาต่อรอง เพื่อเอาตัวนักการเมืองมาลงโทษในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอภิปรายของ ส.ส. ฝั่งรัฐบาลที่สนับสนุนญัตติดังกล่าว อาทิ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปราย สาเหตุของการปฏิวัติมี 4 ข้อ คือ 1. อ้างนักการเมืองเลวร้าย 2. ประชาชนเรียกร้อง 3. นายทหารอยากได้อำนาจ และ 4. อ้างดวงเมือง โดยรูปแบบปฏิวัติมีทั้งใช้กำลัง ปฏิวัติเงียบ ปฏิวัติตัวเอง และปฏิวัติไม่ใช้กำลังคือของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นการพัฒนารูปแบบในไทย ซึ่งสิ่งที่จะป้องกันได้คือ ต้องปฏิรูปกองทัพ ลดโครงสร้างให้เล็กลง ให้การศึกษาจิตสำนึกประชาธิปไตย โดยบรรจุไว้ในหลักสูตรโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนนักการเมืองต้องปรับตัว และปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนต่อต้าน ไม่เห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหาร เพราะกระทบสิทธิเสรีภาพ ไม่มีใครแก้ปัญหาความเดือดร้อน เศรษฐกิจ การลงทุน และไร้การตรวจสอบการถ่วงดุล
"ระบอบประชาธิปไตยดีกว่าเผด็จการทุกรูปแบบ และไม่มีประเทศไหนที่เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าด้วยการปกครองรูปแบบเผด็จการ แต่ตนเชื่อว่ารัฐประหารป้องกันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของคนบ้าอำนาจ ภาษาการเมืองเรียกว่าเป็นวงจรอุบาทว์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า vicious circle ภาษาราชการเรียกว่านิสัยอันถาวร และภาษาชาวบ้านเรียกว่าสันดาน" นายเทพไท กล่าว