ข่าว

"ประวิตร" สั่ง กอนช.ประเมินสถานการณ์ลานีญา เชื่อกทม.ไม่เผชิญฝน1,000 ปี

"ประวิตร" สั่ง กอนช.ประเมินสถานการณ์ลานีญา เชื่อกทม.ไม่เผชิญฝน1,000 ปี

25 ก.ค. 2564

"ประวิตร"สั่ง กอนช.ประเมินสถานการณ์ภัย ลานีญา เชื่อกรุงเทพฯ ไม่เผชิญฝน1,000 ปี เผย 5 แนวทางรับมือน้ำท่วมในพื้นที่เปราะบาง ระบุ ต้องเร่งสูบระบายน้ำ กรณีเกิดน้ำท่วมขังจากเครื่องสูบน้ำจำนวน 1,121 เครื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ประเมินแนวโน้มปรากฏการณ์ลานีญาที่มีนักวิชาการแสดงความกังวลว่าปลายปีนี้ปรากฎการณ์ลานีญามีโอกาสเกิดขึ้น

 

และหากเกิดฝนตกหนักรอบ 1,000 ปี เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่ประสบอุทกภัยหนักในขณะนี้ โดยเฉพาะหากตกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร(กทม.) การเตรียมการรับมือของหน่วยงานมีความพร้อมอย่างไร

 

ทั้งนี้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานการติดตามและประเมินสภาพภูมิอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ พบว่า ภาพรวมช่วงฤดูฝน ปี 2564 สภาพอากาศมีลักษณะคล้ายคลึงกับปี 2551 โดยช่วงต้นฤดูฝน เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม จะมีปริมาณฝนน้อย เสี่ยงเกิดภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ

 

และจะมีฝนตกหนักในเดือนกันยายน – ตุลาคม เสี่ยงเกิดอุทกภัยบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนช่วงปลายปีเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม จะเกิดฝนตกหนักเสี่ยงเกิดน้ำท่วมบริเวณภาคใต้ สำหรับปริมาณฝนปี 2551 นั้นมีค่าน้อยกว่า ปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน

 

ขณะที่การคาดการณ์ปรากฏการณ์ “ลานีญา” ปัจจุบันกรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ปรากฏการณ์ “เอนโซ” อยู่ในสภาวะปกติต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคม จากนั้นมีโอกาสพัฒนาเป็นปรากฏการณ์ ”ลานีญา” สภาวะอ่อนๆ ช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม ซึ่งมีผลให้เกิดฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณภาคใต้

และจากการคาดการณ์ฝน ONE MAP ช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม มีค่าฝนเฉลี่ยมากสุดในเดือนกันยายน ปริมาณ 260 มิลลิเมตร เท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่กรุงเทพฯ จะเกิดฝนตกหนักรอบ 1,000 ปี หรือเกิน 350 มิลลิเมตรต่อวัน จึงมีความน่าจะเป็นน้อยมาก

 

โดย กอนช. ได้รายงานปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. – ปัจจุบัน พบว่า ยังคงมีค่าต่ำกว่าค่าปกติ และจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “เจิมปากา” มีผลทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านประเทศไทย มีกำลังแรงส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าแหล่งน้ำทั่วประเทศไทยช่วงวันที่ 20 – 27 ก.ค. 2564 จะได้ปริมาณน้ำรวม 1,830 ล้านลูกบาศก์เมตร

 

แยกเป็น ภาคเหนือ 448 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 329 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันตก 916 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออก 41 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคกลาง 13 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคใต้ 86 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยทั้งประเทศมีปริมาณน้ำรวม 36,445 ล้านลูกบาศก์เมตร (44%) และยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 45,643 ล้านลูกบาศก์เมตร

 

แม้ว่าพายุ “เจิมปากา” ไม่เข้าไทยโดยตรง ปัจจุบันได้เคลื่อนตัวปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย และได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ส่งผลทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

 

กอนช. ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 10 มาตรการรับมือฤดูฝนโดยเร็ว เพื่อบริหารจัดการน้ำ การป้องกันผลกระทบ และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยงภัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์แนวโน้มพายุหมุนเขตร้อน ที่คาดว่าในปีนี้จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย 2-3 ลูก ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564

 

คาดการณ์ปริมาณฝนด้วยแผนที่ ONE MAP วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและขาดแคลนน้ำช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม เพื่อให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการเชิงป้องกันได้ตรงเป้าหมายและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ตรงจุดและทันสถานการณ์

สำหรับพื้นที่เปราะบางในเขตกรุงเทพฯ กอนช. ได้กำหนดมาตการเตรียมการป้องกันผลกระทบน้ำท่วม โดยได้บูรณาการหน่วยงานเกี่ยวข้องโดยเฉพาะจุดรอยต่อ และจุดเสี่ยงได้รับผลกระทบต่าง ๆ เพื่อทำงานเชิงป้องกันล่วงหน้ารองรับสถานการณ์ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังรอการระบาย

 

เนื่องจากระบบระบายน้ำสามารถรองรับฝนตกได้เพียง 100-120 มม.ต่อวัน หากฝนตกมากกว่านี้ จะเกิดน้ำนองท่วมขังไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ต้องเร่งสูบระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องสูบน้ำจำนวน 1,121 เครื่อง มีศักยภาพสามารถระบายน้ำได้ 807 ลบ.ม./วินาที

 

ประกอบด้วย 5 แนวทางหลัก คือ 

1. ปรับปรุงเพิ่มระบบระบายน้ำเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ของเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ การจัดหาพื้นที่หน่วงน้ำ (แก้มลิง) การเพิ่มประสิทธิภาพท่อระบายน้ำ รวมถึงการใช้ระบบตรวจวัดข้อมูลอัตโนมัติเพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ 

2. การล้างท่อระบายน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคลอง และบำรุงรักษาเครื่องสูบน้ำสถานีสูบน้ำ และจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำชนิดเคลื่อนที่

3. การวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาหากมีเหตุไฟฟ้าขัดข้อง จะมีหน่วยงานเร่งด่วนที่สามารถเข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ทันที 

4. การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีกองบังคับการตำรวจจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นศูนย์กลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหา 

5. การจัดทำแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างเกินศักยภาพระบบระบายน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในช่วงฤดูฝนนี้