ข่าว

'พรรคประชาชาติ'กังขา ยกเว้นค่าปรับก่อสร้างรัฐสภาล่าช้า ไม่ถูกต้อง

'พรรคประชาชาติ'กังขา ยกเว้นค่าปรับก่อสร้างรัฐสภาล่าช้า ไม่ถูกต้อง

18 ม.ค. 2566

เลขาธิการพรรคประชาชาติ ข้องใจ ทำไม สำนักเลขาฯสภา จึงยอมแก้สัญญา ทำให้ผู้รับจ้างสร้าง'รัฐสภา' ไม่ต้องเสียค่าปรับ

 

แม้การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จะครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แต่บริษัท ซิโน-ไทยผู้รับเหมาก่อสร้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งตามสัญญาจ้างก่อสร้างฯ ข้อ 20 ค่าปรับและค่าเสียหาย กำหนดให้ ผู้รับจ้างจะต้องชำระค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.10  ของราคางานจ้างก่อสร้างทั้งหมดตามสัญญา หรือวันละ 12.28 ล้านบาท และต้องชำระค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ควบคุมงานและที่ปรึกษาบริหารโครงการ วันละ 332,140 บาท รวมแล้วประมาณวันละ 12.61 ล้านบาทเศษ

 

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ผู้รับจ้างทำงานไม่เสร็จก่อสร้างล่าช้า ซึ่งการทำสัญญาและหลักประกันนั้น ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ใน มาตรา 97  สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้วจะแก้ไขไม่ได้ และกรณีนี้ไม่น่าจะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 97 กับ มาตรา 102 การงดหรือลดเบี้ยปรับผู้มีอำนาจพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง เฉพาะในกรณีที่กฎหมายกำหนด

 

ปรากฎว่าเมื่อเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ผู้รับจ้างได้มีหนังสือแจ้งขอส่งมอบงานทั้งโครงการตามสัญญางวดสุดท้าย แต่ผู้ควบคุมงาน ที่ปรึกษาบริหารโครงการ และคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจงานแล้วพบว่ายังมีงานก่อสร้างที่ผู้รับจ้างต้องดำเนินการแก้ไขเนื่องจากไม่ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา จึงไม่รับมอบงานและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรผู้ว่าจ้างได้มีคำสั่งให้ผู้รับจ้างดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง

 

ปัจจุบันอยู่ระหว่างผู้รับจ้างดำเนินการงานก่อสร้างตามรูปแบบและรายการให้แล้วเสร็จทั้งหมด รวมทั้งแก้ไขงานที่ชำรุดบกพร่อง (Defects) ซึ่งงานตามสัญญายังไม่แล้วเสร็จ

 

ถึงปัจจุบัน (18 มกราคม 2566) ยังส่งมอบงานไม่ได้ มีความล่าช้าเป็นเวลาประมาณ 778 วัน หรือมากกว่า  2 ปี  บริษัทผู้รับจ้างต้องถูกปรับรวมเป็นเงินมากกว่าหมื่นล้านบาท

 

กราฟฟิคประกบจากเพจ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ มองว่า ข้ออ้างบริษัทผู้รับจ้างสร้างสภารัฐสภาที่ไม่จ่ายค่าปรับ คือได้มีหนังสือขอรับสิทธิตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ หลายฉบับสามารถสรุปสาระสำคัญได้ว่า

 

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ให้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ  โดยมีแนวทางให้กำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด 19

 

คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) อนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 162 กำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ

 

เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นดีเห็นงาม และได้ดำเนินการแก้ไขสัญญาจ้างที่ได้ลงนามเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจากเดิมสัญญามีการกำหนดค่าปรับตามสัญญาค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.10 นั้นได้แก้ไขเป็นไม่มีค่าปรับเลย โดยใช้ถ้อยคำว่า กำหนดค่าปรับเป็นร้อยละ 0ไม่น่าจะถูกต้อง

 

ทั้งนี้เนื่องจากความในข้อ 162 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ เป็นบทบัญญัติที่อยู่ในหมวด การทำสัญญาและหลักประกันกล่าวคือ เป็นข้อกำหนดในขั้นตอนการทำสัญญาที่หน่วยงานของรัฐจะต้องกำหนดค่าปรับอันถือเป็นหลักประกันไว้ในสัญญาตามอัตราที่ระเบียบกำหนด ไม่ใช่ในขั้นตอนการ แก้ไขสัญญา

 

ส่วนการแก้ไขสัญญา เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 97 ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับศักดิ์พระราชบัญญัติ และเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจ คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐในการยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงหรือระเบียบที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ เท่านั้น

 

คณะกรรมการวินิจฉัยฯ จึงไม่อาจยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ที่ให้อำนาจแก่ตนเองได้ 



เลขาธิการพรรคประชาชาติเห็นว่าการที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปแก้ไขสัญญาฯ เป็นการกระทำที่นอกเหนือจากขอบอำนาจที่กฎหมายกำหนดและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 97 และมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560