"พรรคชาติพัฒนากล้า"ผุดไอเดียชูนโยบาย"เศรษฐกิจสายมู"
"พรรคชาติพัฒนากล้า"ผุดไอเดียชูนโยบาย"เศรษฐกิจสายมู" 1 จังหวัดต่อ 1 พันล้าน สร้างรายได้สู่ภาคธุรกิจและชุมนุม
ปัจจุบัน "สายมู" ถือเป็นอีกหนึ่งที่พึ่งทางจิตใจของใครหลายๆคน ทั้งโชคลาภ การงาน สุขภาพ ความรัก เป็นต้น จนบางแห่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในแหล่งชุมนุม เนื่องจากมีผู้คนหลั่งไหลไปสักการะ
พรรคชาติพัฒนากล้าผุดไอเดียสร้าง "เศรษฐกิจสายมู" หรือเศรษฐกิจสีขาว ขึ้นมา ในนโยบายเศรษฐกิจ 7 สี หรือ Spectrum Economy ที่จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท
โดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เห็นว่า ท่องเที่ยวสาย "มูเตลู" ไม่ใช่ความงมงาย แต่คือความเชื่อและความศรัทธาที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน แม้แต่ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด19 ทุกจังหวัดเหลือเที่ยวบินเพียงวันละ1-2เที่ยว แต่ที่จ.นครศรีธรรมราช กลับมีเที่ยวบิน 50 กว่าเที่ยว เพราะมีวัดเจดีย์ หรือ วัดไอ้ไข่ เงินสะพัดไปสู่ทั้งระดับภาคธุรกิจและระดับชุมชน มีนักท่องเที่ยวไปอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
พรรคชาติพัฒนากล้า มีนโยบาย คือ 1 จังหวัด 1 พันล้าน จากสร้างแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดไหนไม่มีสถานที่ที่ดึงความน่าสนใจได้เพียงพอก็สร้างขึ้นใหม่
นายกรณ์ยังยกตัวอย่าง หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ผลักดันสร้างขึ้นมาจากความคิดของนายกอุ๊ วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า จนทำให้ชาวบ้านสามารถนำสินค้ามาขายโดยรอบได้ รายได้กระจายไปสู่ชุมชนและคนอยุธยาอย่างประเมินค่าไม่ได้ หรือแม้แต่พระพิฆเนศองค์ยืนที่องค์ยืนที่ จ.ฉะเชิงเทรา และ การสร้างหลวงปู่โต วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดด้วย
"หากลงทุนหลักพันล้านต่อ 1 แหล่งท่องเที่ยว เราจะได้เงินกลับคืนมาอย่างมหาศาล ดูแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอย่างเจ้าแม่กวนอิมที่ฮ่องกง วัดอาซากุสะที่ญี่ปุ่น โบสถ์ที่งดงามในยุโรป หรือแม้แต่พระพรหมเอราวัณที่บ้านเรา ต่างก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกอยากมาชมด้วยตาตัวเอง"นายกรณ์ กล่าว
สิ่งสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวต้องมี 3 มิติควบคู่กัน ได้แก่ 1. เพิ่มนักท่องเที่ยว ที่เราต้องลงทุนในระบบสาธารณูปโภค ลงทุนในการอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติ 2. เพิ่มเวลาที่นักท่องเที่ยวอยู่กับเรา จาก 10 วันเป็น 12 วัน ต้องเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวให้หลากหลายและดึงดูด และ 3. เพิ่มเงินที่นักท่องเที่ยวใช้ตอนอยู่กับเรา เพิ่มการใช้จ่ายจับจ่าย ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าเราให้มีราคามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของฝาก อาหาร ที่พัก ฯลฯ ซึ่งยุทธศาสตร์สายมูตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติ
ด้านนายกอุ๊ กล่าวเสริมว่า ตนเป็นคนแปดริ้ว หัวใจการท่องเที่ยวของเมืองแปดริ้วมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ วัดหลวงพ่อโสธร คนมาปีละหลายล้านคน แต่สิ่งที่พบคือมีเพียงเป้าหมายเดียวในการมาปิดทองไหว้หลวงพ่อและไม่ได้ไปไหนต่อ วัดอื่นไม่มีคนรู้จักไม่มีเกจิไหนหรือพระพุทธรูปใดจะทาบรัศมีและแข่งบารมีกับหลวงพ่อได้ นี่คือจุดแข็งเบอร์1 ของ แต่ในจุดแข็งกลับมีจุดอ่อนแฝงอยู่
การสร้างแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร สามารถพลิกโฉมเมืองแปดริ้ว มีเงินสะพัดเกิดการค้าขาย เกิดอาชีพ เกิดความเจริญในพื้นที่จากที่เคยเป็นเมืองอับคนไม่ไป ที่ดินราคาแพงขึ้น ชาวบ้านรวยขึ้น เงินหมุนเวียนทั้งระบบเป็นหลายพันล้านบาทต่อปี และที่สำคัญ มีความยั่งยืน และนี่คือการท่องเที่ยวอีกรูปแบบที่สร้างขึ้นใหม่ในยุคปัจจุบัน