เปิดใจ 'ดร.ปอน' หน.พรรครวมพลัง ชูนโยบาย 'เรียนฟรีถึงปวส.' สู้ศึกเลือกตั้ง
เปิดใจหัวหน้าพรรครวมพลัง “ดร.ปอน - ดนุช ตันเทอดทิตย์" งัดนโยบาย ‘เรียนฟรีถึงปวส.-มหาวิทยาลัยสู่ตำบล-ขับเคลื่อน BCG’ สู้ศึกเลือกตั้ง
ภายหลังจากมีการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)ชุดใหม่ของพรรครวมพลัง ภายใต้ “แม่ทัพใหญ่” คนใหม่อย่าง ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ หรือ “ดร.ปอน” พรรครวมพลังจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์เตรียมพร้อมรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะนโยบายของพรรค
โดย “ดร.ปอน” ระบุว่า นโยบายของพรรครวมพลังยังยึดมั่นในแนวทางเดิมที่เราได้ร่วมทำงานกับคณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ชุดเดิม ที่มีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรคในตอนนั้น ความจริงตนเองทำงานกับพรรครวมพลังมาตั้งแต่วันแรกในการตั้งพรรคจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 4-5 ปีแล้ว เรามีนโยบายที่พยายามทำ คือ การปฏิรูปการศึกษา ซึ่งแน่นอนว่า 2 ปีที่ผ่านมามันทำไม่จบ เพราะในเดือนสิงหาคม 2563 เราแก้ปัญหา โควิด-19 จึงทำให้ไม่ได้ทำเรื่องการปฏิรูปการศึกษาอย่างเข้มข้น
แต่มาเจอสถานการณ์ โควิด-19 ทำให้ไม่ค่อยได้ปฏิรูปการศึกษาเท่าไหร่ แต่เราได้มีการวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว ปลายปี 2564 เพิ่งได้ออกไปพูดคุยทำเรื่องการปฏิรูปการศึกษาจึงทำให้หลายอย่างที่อยากทำยังทำไม่จบ
เมื่อถามถึงนโยบายเด่นหลักๆของพรรครวมพลังที่จะชูใช้ในการเลือกตั้ง “ดร.ปอน” ระบุว่า พรรครวมพลัง เราเชื่อว่าคำตอบในการพัฒนาประเทศสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อยู่ที่ตำบล ในช่วงที่เราทำกระทรวงอว.เราทำโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล ( U2T) ทำให้ตนเองได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสประชาชน ในแต่ละตำบลที่ตนเองได้ลงไปแล้ว 200 ตำบล เราพบว่าถ้าเราพัฒนาให้ตำบลมีความเข้มแข็ง 7,435 ตำบล ถ้าตำบลเข้มแข็งทุกอำเภอก็จะเข้มแข็งส่งผลให้ทุกจังหวัดเข้มแข็ง เพื่อไปสู่ประเทศให้มีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อน BCG
บางตำบลมีปัญหาเรื่องครู เพราะครูเก่งๆไปบรรจุในที่ไกลๆสุดท้ายเขาขอย้ายจากตำบลไกลๆ ก็จะทำให้ไม่มีครูดีๆ เราจึงให้ทุนเด็กที่จบมัธยมศึกษาปีที่ 6ไปเรียนครู เรียนจบสอบบรรจุเป็นครูที่บ้านเกิด โดยมีข้อแม้จะต้องใช้ทุนอยู่ไป 10 ปีแล้วค่อยย้าย เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนครูในถิ่นทุรกันดาร ทั้งนี้ โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล (U2T) ในปี 2564 ทำอยู่ 3,000 ตำบล ปี2565 ทำอยู่ 7,435 ตำบลทั่วประเทศ ส่วนในปี 2566 ถ้าเราได้กลับมาขับเคลื่อน หรือมีส่วนร่วมในการดูแลกระทรวงอว.เราจะทำโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบลอีกโดยจะทำให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น” ดร.ปอน ระบุ
ดร.ปอน ระบุอีกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเราเอางานวิจัยที่อยู่บางจังหวัดมายกระดับตำบล ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียวเหล่านี้จะช่วยยกระดับจากตำบลไปสู่ประเทศด้วยองค์ความรู้ที่มีอยู่ นี่คือหนึ่งนโยบาย ยกตัวอย่างเราเคยใช้งบประมาณหมื่นล้านในการขับเคลื่อนโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล ( U2T) ซึ่งตนเองจะขอใช้งบประมาณเพียง 7,435 ล้านบาท เพื่อให้ตำบลนำงบประมาณไปใช้ ยกตัวอย่าง หากใช้ตำบลละ 1 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าโครงการที่เคยทำหมื่นล้าน
เมื่อถามด้วยว่าพรรครวมพลังสานต่อนโยบายเรียนฟรีปวส. ดร.ปอน ระบุว่า นโยบายเรียนฟรีจบที่ปวช. ส่วนปวส.ถ้าจะเรียนอาจจะต้องมีเงินไปเรียนดังนั้นหากเราขยายให้เรียนฟรีจนถึงปวส.หรือหากมีเด็กเรียนเก่งก็อาจจะมีทุนให้เรียนต่อปริญญาตรี เราเน้นการศึกษาเชิงสมรรถนะ ไม่ใช่เรียนเพื่อจบ แล้วตกงาน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มหาวิทยาลัย มีโรงเรียนอาชีวะสังกัดมหาวิทยาลัย ที่อยู่ภายในมหาวิทยาลัยเหมือนโรงเรียนสาธิต ซึ่งบางมหาวิทยาลัยทำแล้ว เช่นโรงเรียนเตรียมอาชีวะ เตรียมวิศวะ หรือเตรียมสถาปัตย์ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จึงอยากเชิญชวนให้มหาวิทยาลัยราชภัฏทำเช่นเดียวกันบ้าง
เมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าหากพรรครวมพลังมีโอกาสจะสานต่อกระทรวงอว.เหมือนเดิม
ดร.ปอน ระบุว่า เราเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้วพรรครวมพลังต้องการรักษาคะแนนเสียงที่เราได้ 8 แสนคะแนน ตอนนี้ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ เราหวังว่าประชาชนจะให้ความไว้วางใจกับเราที่จะเลือกพรรคเรามากยิ่งขึ้น ร่วงทั้งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา พรรคเรามีผลงานสู่ทุกตำบล ทุกมหาวิทยาลัยฉะนั้นเชื่อว่าผลงานที่ผ่านมาของพรรคผ่านทางกระทรวงอว.จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและความไว้วางใจพรรครวมพลังอีกครั้ง เชื่อว่าจะได้มากกว่า 8 แสน
ดร.ปอน ระบุในช่วงท้ายว่า ตอนนี้คณะกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาตอนนี้รอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จะรับรองเมื่อใด โดยเรามีการประชุมเพื่อกำหนดตัวผู้สมัครส.ส. และนโยบายที่จะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ขอรอให้ตกผลึก พรรครวมพลังไม่ได้ตั้งขึ้นมา เพื่อเลือกตั้งเท่านั้น แต่การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นทดสอบว่าประชาชนเห็นความสำคัญของเรา หรือไม่ว่าเราได้ทำงานมาเยอะ หากผลออกมาอย่างไรไม่ว่าจะได้ส.ส.หรือไม่ได้ส.ส.ก็จะยังทำพรรคนี้ต่อไป เราจะหลอมรวม ความหลากหลายของประชาชน ให้เป็นพลังขับเคลื่อน เพื่อประเทศชาติ