ข่าว

'ชูวิทย์' เอฟเฟกต์ กระแสเขย่าสนามบุรีรัมย์

'ชูวิทย์' เอฟเฟกต์ กระแสเขย่าสนามบุรีรัมย์

09 มี.ค. 2566

ปรากฎการณ์ 'ชูวิทย์' เอฟเฟกต์ แฉในสนามการเมืองแต่สะเทือนถึงสนามบอล สะท้อนบางคนมีอิทธิพลทุกวงการ ลากไส้ครั้งนี้ลดความน่าเชื่อถือแต่ไม่ลดคะแนนเสียง พรรคภูมิใจไทย

กระแส "ชูวิทย์" สร้างปรากฎการณ์สั่นสะเทือนวงการเมืองฟาดลามไปถึงขอบสนามฟุตบอล หลังออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลในหลายโครงการที่อยู่ในกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม การทุจริตที่การรถไฟที่เขากระโดง นโยบายกัญชาเสรี ฯลฯ ทำให้พรรคที่  "เนวิน ชิดชอบ" นั่งเป็นกุนซือใหญ่ถูกดิสเครดิตเป็นระลอก 

 

 

 

เมื่อเร็วๆ นี้กองเชียร์ในสนามช้าง อารีน่า ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องอึ้งไปตามกัน เมื่อกองเชียร์ฝั่งตรงกันข้ามในฐานะแฟนบอลลำพูนพร้อมใจกันส่งเสียงตะโกนเรียกชื่อ "ชูวิทย์" ดังกึกก้องเป็นจังหวะ หลังจาก "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดรังเอาชนะ "ราชันโคขาว" ลําพูน วอริเออร์ ไป 2 ประตูต่อ 0   เหตุการณ์จากขอบสนามบุรีรัมย์อธิบายได้ว่า "กระแสชูวิทย์" ไม่ทรงพลังแค่ในเมืองหลวง แต่คอการเมืองในฐานะแฟนบอลไทยลีกก็ให้ความใส่ใจต่อพฤติกรรมของนักการเมืองด้วย พวกเขาไม่ได้แค่เชียร์บอลเอามัน แต่แฟนพันธุ์แท้ที่เกาะติดเกมฟุตบอลอย่างจดจ่อก็หวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในสนามการเมืองด้วย 

รศ. ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายปรากฎการณ์นี้กับ “คมชัดลึก” ว่า "ชูวิทย์" เอฟเฟกต์ที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนถึงการปล่อยปละละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบการบริหารงานของคนในรัฐบาล แต่กลับปล่อยให้มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้น (รัฐมนตรีหลายคนมีพฤติกรรมน่าสงสัย) ซึ่งประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาทุจริตที่หมักหมมอยู่ได้ 

 

 

ในทางตรงกันข้าม ประชาชนกลับพบว่า รัฐบาลซึ่งมีอำนาจในฐานะฝ่ายบริหารกลับเพิกเฉยต่อการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตของนักการเมืองบางคน พรรคการเมืองบางพรรค สิ่งที่ชูวิทย์กำลังสำแดงอยู่จึงกลายเป็นเหมือนความหวังใหม่ของประชาชน และก็ได้ใจ FC ไปแบบสุดๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนชนชั้นกลางที่หมดความอดทนต่อความมูมมามของเสนาบดีบางคนในรัฐบาลประยุทธ์ 

 

รศ. ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว

ความน่าสนใจของเหตุการณ์ดังกล่าว รศ.ดร.โอฬาร สะท้อนให้เห็นว่า คนบางคนไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในสนามการเมืองเท่านั้น แค่ยังแผ่อิทธิพลลงไปในสนามฟุตบอลด้วย นั่นหมายถึงหลังเกมจบกันที่แพ้ชนะ อารมณ์ร่วมของคนดูบางกลุ่มต้องการส่งพลังเชียร์ (ของคอบอล) ไปเขย่าสนามการเมืองด้วย

 

 

“อย่าลืมว่ากลยุทธ์การใช้แฟนบอลแปรเปลี่ยนมาเป็นคะแนนเสียง ถือว่าเป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยทำได้ดีมาก เพราะหากสร้างให้ทีมฟุตบอลเป็นที่นิยมมากๆ จนมีแฟนคลับ มีคนสวมเสื้อทีมฟุตบอลในพื้นที่จำนวนมากนั้นสื่อให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้กำลังเป็นทั้งแฟนบอลและเป็นคะแนนเสียงให้กับพรรคภูมิใจไทย และตอนนี้จังหวัดในแถบภาคอีสานเกินว่าครึ่งกลายเป็นฐานเสียงของพรรคภูมิใจไทยไปแล้วเรียบร้อย” รศ.ดร.โอฬาร วิเคราะห์จากมุมมองตัวเองอย่างนั้น

 

นอกจากนั้น ยิ่งเวลาการเลือกตั้งใกล้เข้ามามากเท่าใด การแฉของ "ชูวิทย์" จะยิ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในฐานะผู้มีสิทธิ์หย่อนบัตรมากขึ้น เพราะระฆังการเมืองกำลังโหมโรงปอกเปลือกความไร้น้ำยาและความไร้ประสิทธิภาพของว่าที่ผู้สมัคร สส. หรือแกนนำของบางพรรคที่หมายมั่นจะกลับมายึดเก้าอี้รัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง 

 

 

โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย ดูเหมือนจะตกเป็นเป้าโดนเตะตัดขาจากพรรคคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาใช้กลวิธี “มันนี่โพลิติกส์” ดูด สส.บ้านเล็กบ้านใหญ่ไปอยู่ในสังกัดมาต่อเนื่อง 

 

 

มุมมองของ รศ.ดร. โอฬาร เห็นว่า การแฉของ "ชูวิทย์" ในโครงการต่างๆ ของพรรคภูมิใจไทยกระทบต่อความเชื่อมั่น และตอกย้ำภาพลักษณ์ “สารหนู” ฉายาของอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอีกด้วย แม้จะยังตอบไม่ได้ว่าเอฟเฟกต์เหล่านี้จะลดคะแนนของฐานเสียงชาวกัญชาเสรีลงได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง

 

 

อย่างไรก็ดี นักวิชาการจาก ม.บูรพา วิเคราะห์นโยบายของ พรรคภูมิใจไทย กับกระแสการออกมาแฉของ "ชูวิทย์" ว่า “คะแนนนิยมล้วนมาจากนโยบายที่เข้าถึงประชาชน และหากองสังเกตดีๆ นโยบายของพรรคภูมิใจไทยเกิดขึ้นจริงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโยบายเพิ่มเงิน อสม. นโยบายกัญชาเสรีที่เป็นนโยบายยกระดับปากท้องทั้งสิ้น  ดังนั้นปรากฎการ "ชูวิทย์" จึงไม่สามารถลดคะแนนนิยมของภูมิใจไทยลงได้”    

 

ชูวิทย์ แฉพรรคภูมิใจไทย

 

หากมองไปที่ประเด็น “ทุนเลือกตั้ง” แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่การโจมตีของชูวิทย์ส่งผลให้เกิดความลังเลและระส่ำระสายของว่าที่ผู้สมัคร สส.บางกลุ่มในพรรค (ซึ่งถูกดูดมาร่วมก่อนหน้านี้) โดยเฉพาะคนที่ยังไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะได้รับเลือกให้ลงสมัครหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าผลพวงการลากไส้ของชูวิทย์อาจถูกมองว่าเป็นการเตะสกัดทุนและจงใจสร้างแรงหวี่ยงทางการเมืองให้เกิดการดูดกลับตามประสงค์ของบางพรรค “ดังนั้นการสร้างความปั่นป่วน สร้างความระส่ำให้แก่พรรคภูมิใจไทย เพื่อหวังให้ว่าที่ผู้สมัครเกิดความลังเลจึงเกิดได้ขึ้นแน่นอน”