'ประชาธิปัตย์' แถลงนโยบายอัดฉีด 1 ลลบ. กระตุ้นเศรษฐกิจ
'ประชาธิปัตย์' แถลงแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ เตรียมอัดฉีด 1 ลลบ. ลดหนี้สาธารณะและครัวเรือน แถลงมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เชื่อ GDP โตขึ้นอย่างน้อย 5%
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ "อัดฉีดเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านบาทใครได้อะไร" นำโดย ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ , นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทยประธานคณะกรรมการต่างประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ , ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการขนาดใหญ่ และม.ร.ว. ศศิพฤนท์ จันทรทัต อดีตซีอีโอ บล. กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
ดร.พิสิฐ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า 5% ต่อปี พร้อมลดช่องว่างระหว่างประชากรโดยไม่สร้างหนี้สาธารณะหรือบั่นทอนการทำงานของระบบการเงิน และลดหนี้ครัวเรือน เพื่อให้เศรษฐกิจเข้มแข็งมีเสถียรภาพและยั่งยืน ผ่าน 16 นโยบาย
ระยะสั้น โดยเพิ่มสภาพคล่องแก้ข้อจำกัดเงินทุนหมุนเวียน โดยแบ่งเป็น
-ระดับฐานราก จัดตั้งธนาคารหมู่บ้านและชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท ตามพ.ร.บ.สถาบันการเงินประชาชน พ.ศ.2562 วงเงิน 1.8 แสนล้านบาท
-ระดับกลาง จะปลดล็อคกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ให้ข้าราชการในวงเงิน 1 แสนล้านบาท และปลดล็อคกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้พนักงานบริษัทในวงเงิน 2 แสนล้านบาท สามารถนำเงินกองทุนทั้งสองรวม 300,000 ล้านบาท ไปซื้อบ้านหรือลดหนี้ที่อยู่อาศัย
-ระดับ SME โดยการเพิ่มทุน SME และ START UP วงเงิน 3 แสนล้านบาท ให้ธุรกิจมีเงินใหม่เพื่อการลงทุน ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาล จะเริ่มทำทันทีภายใน 3 เดือน
ระยะยาว จะปรับโครงสร้างและปลดล็อคข้อจำกัด
-ที่ดิน ออกโฉนด 1 ล้านแปลง ให้สิทธิทำกินในที่ดินรัฐ อุดหนุนเงิน 3 ล้านบาทสำหรับการรวมแปลงที่ดินใหญ่
-ประมง ผ่อนคลายมาตรการา IUU
-แรงงานให้เรียนฟรีถึงป.ตรี สาขาที่ตลาดต้องการ
-เทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต 1 ล้านจุด
ในส่วนมาตรการที่เหลืออีก 6 เรื่องจะมีผลในการลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้ คือ 1.ประกันรายได้สินค้าเกษตรหลัก 5 ตัว 2.ชาวนารับ 30,000 บาท จากที่ดิน ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ 3.ประมงพื้นบ้านกลุ่มละ 100,000 บาท 4.ด้านปศุสัตว์ผู้เลี้ยงโคนมจะได้ประโยชน์จากเรื่องนมโรงเรียน 365 วัน 5.ชมรมผู้สูงอายุ 30,000 บาทต่อปี และ6. บัตรประชาชนใบเดียวรักษาพยาลและการตรวจโรคฟรี ซึ่งรวมแล้วคาดว่าจะใช้เงิน 2.2 แสนล้านบาท
ดร.พิสิฐ กล่าวต่อ GDP ไทยโตช้าที่สุดในอาเซียน จากผลกระทบวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งจากเงินเฟ้อ การขาดดุลกับต่างประเทศ การขาดดุลการคลัง โดยเฉพาะรายได้ที่ขาดหายไปจากผลกระทบโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐได้มีมาตรการช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ เงินกู้ตามพ.ร.ก. โควิด-19 2 ฉบับ (2563-2565) รวมประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท รวมถึงรายได้ที่เก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ (2563-2565) ประมาณ 5 แสนล้านบาท เพราะฉะนั้นยังมีหลุมรายได้ที่ขาดไปอีก 1 ล้านล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์จะอุดหลุมรายได้ตรงนี้จะอัดฉีดเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้GDPโตเกิน 5% ตามศักยภาพที่เรามีอยู่ ซึ่งถ้าโตต่ำกว่าระดับ 5% จะไม่เป็นที่สนใจจจากนักลงทุน
โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ ลดหนี้ครัวเรือนจากที่แตะ 90%ของ GDP และไม่สร้างหนี้สาธารณะจากที่ทะลุ 60%ของ GDP เราจะทำให้ระบบการเงินไทยแข็งแรง และมีเงินใหม่เข้ามา เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยต้องทำภายใน 3-4 เดือน ซึ่งเรามีเงิน 8 แสนล้านบาทรออยู่แล้วในระบบการเงินการคลัง ส่วนอีก 2 แสนล้านบาทจากการปรับโครงสร้างระบบงบประมาณและการบริหารการจัดเก็บรายได้และเงินนอกงบประมาณ