ข่าว

เลือกตั้ง66 'ปชป.' ประกาศ กทม. ไม่เป็นศูนย์ซ้ำรอยเก่า

เลือกตั้ง66 'ปชป.' ประกาศ กทม. ไม่เป็นศูนย์ซ้ำรอยเก่า

20 เม.ย. 2566

'จุรินทร์' เชื่อเลือกตั้ง 66 พื้นที่ กทม. ไม่เป็นศูนย์ กระแสตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ 'นิพนธ์' ตั้งเป้าทั่วประเทศไม่ต่ำ 80 ที่นั่ง ด้าน 'มาดามเดียร์' เชื่อเลือดเก่าไหลออก ได้เลือดใหม่มาแทนยิ่งเพิ่มความเข้มแข็ง

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางพบสื่อในเครือเนชั่น นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ , นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผอ.เลือกตั้ง , นายองอาจ​ คล้ามไพบูลย์​ รองหัวหน้า​พรรค​ประชาธิปัต​ย์ , น.ส.วทันยา บุนนาค​ หรือ มาดามเดียร์ ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง​ , ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานการศึกษาทันสมัย พร้อมด้วยผู้สมัคร กทม. 33 เขต 

นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า การเลือกตั้ง66ครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เป็นศูนย์ในพื้นที่ กทม. เพราะมั่นใจมากจากสิ่งที่ทำมาตลอด 4 ปี ลงพื้นที่ช่วยประชาชนต่อเนื่อง ไม่เคยทอดทิ้ง ช่วงโควิด หาเตียง ข้าวกล่องและถุงน้ำใจส่งตรงถึงบ้าน วันนี้มีคนเข้ามากอดขอบคุณ สะท้อนความเป็นจริงทั้งหมดที่ว่า ผลงานอยู่ในสายตาคนกทม. และหลายพื้นที่ทั่วประทศ จะเป็นคะแนนสะสมให้กับพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ทำได้ไว ทำได้จริง ทั้งเรื่องประกันรายได้ แม้จะไม่เป็นเรื่องโดยตรงกับชาวกทม. แต่อย่าลืมว่าก็มี พื้นที่ทำนา เช่น เขตหนองจอก , การส่งออก เป็นยุคเดียวที่สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ 10 ล้านล้านภายในปีเดียว และเงินจำนวนนี้จะมีผลกับคนกทม.ทั้งนั้น ทำให้โรงงานอยู่ได้ ทำให้ SME อยู่ได้ และคน กทม. จำนวนไม่น้อยใช้แรงงานและทำงานอยู่ในโรงงาน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

นายจุริทนร์กล่าวต่อว่า กทม. เปรียบเสมือนลมหายใจของประชาธิปัตย์ เพราะประชาธิปัตย์เกิดได้เพราะชาว กทม. ตั้งแต่สมัย ดร.เสนีย์ ปราโมช และอดีตหัวหน้าพรรคอีกหลายคนก็เป็นคนกทม. เป็น สส.ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี ไม่เคยทิ้งประชาธิปัตย์ แม้เลือกตั้งครั้งที่แล้วไม่ได้ สส. สักเขต แต่ยังได้คะแนนเสียง 4-5 แสนเสียง จากที่ผ่านมาได้ประมาณ 1 ล้านกว่าเสียง 


ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้จะได้ตัวเลขเท่าไรนั้น ไม่ประเมินตัวเลข แต่นายนิพนธ์ บอกว่า ไม่ต่ำกว่า 80 คน โดยขณะนี้กระแสตอบรับของพรรคดีขึ้น เห็นได้จากสนามเลือกตั้ง สก. เมื่อปี2562 เคยได้ 0 คน แต่ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2565 ได้ 9 คน รวมถึงการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.แม้ไม่ได้ที่ 1 แต่ได้ที่ 2 ถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น ซึ่งหากประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี เรามีกรอบยุทธศาสตร์ชัดเจนจะ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ เป็นทางรอดของประเทศ ต้องเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยเท่านั้นและต้องเป็นประชาธิปไตยเต็มใบไม่ใช่ครึ่งใบ อย่างทุกวันนี้ ที่วุฒิสภาโหวตเลือกนายกได้ รวมถึงต้องเป็นประชาธิปไตยที่ไม่โกง เพราะโกงเมื่อไหร่สุดท้ายจะถูกยึดอำนาจ กลับมาสู่วงจรอุบาท 

"อยากขอให้ชาวกทม. ให้โอกาสประชาธิปัตย์ได้มาขับเคลื่อนประเทศอีกครั้งหนึ่ง สำหรับคนที่เข้ามาพบและขอโทษบอกว่าจะกลับมาเลือกพรรค ก็ขอให้ช่วยกันเลือก ให้ประชาธิปัตย์ทุกๆคนกลับบ้านเรามาช่วยกันจับมือ เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อพวกเรา แต่พาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน" 

ด้านนายองอาจ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาธิปัตย์ คือ ทางรอดของประเทศระยะยาว สิ่งสำคัญคือ เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ยกตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แม้จะเจอวิกฤตโควิดและสงครามยูเครน-รัสเซีย แต่เรายังสามารถส่งออกได้ดีเกินเป้าหมาย , การประกันรายได้เกษตรกร ซึ่งกทม.อาจจะไม่ได้รับผลโดยตรง แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่มีครอบครัวเป็นชาวเกษตรกร โดย 4 ปี ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า ไม่มีใครมาเทสินค้าเกษตรร้องเรียน เพราะเราเข้าไปแก้ปัญหาที่หัวใจของเกษตร นี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์พิสูจน์ให้เห็น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจระดับมหาภาค ระดับโลก ระดับฐานราก เศรษฐกิจดิจิตอล ประชาธิปัตย์มีประสบการณ์ มีทีมเศรษฐกิจที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหา


ด้าน น.ส.วทันยา หรือ มาดามเดียร์ กล่าวถึงสถานการณ์ภายในพรรคและในฐานะที่ต้องดูแลคนรุ่นใหม่ในพรรคว่า เลือดที่ไหลออก ทุกคนจะรู้สึกเสียดาย แต่ทุกคนคงมีเหตุผลที่ต่างกันไป ซึ่งตนมองในทางตรงกันข้าม การที่เลือดเก่าไหลออก เป็นโอกาสที่สำคัญ ที่จะมีเลือดใหม่ๆเข้ามา  ทั้งตนและดร.เอ้ หรือผู้สมัครกทม.ประชาธิปัตยกว่าครี่งเป็นคนรุ่นใหม่ ตั้งใจเข้ามาพัฒนาให้ประชาชนอย่างแท้จริง และมั่นใจว่าคนกทม. เบื่อการเมืองแบบเดิม อยากได้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ มี passion อยากจะเข้ามาทำงานทางการเมือง เชื่อว่า ด้วยส่วนผสมที่เรามีประสบการณ์ มาผสมกับคนรุ่นใหม่ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นและที่สำคัญที่สุดในทุกประวัติศาสตร์ของการเมืองประเทศการเปลี่ยนแปลงทุกๆครั้งเสียของเก่าได้ของใหม่กลับเข้ามานำไปสู่ความยั่งยืน
พรรคประชาธิปัตย์เยือนเนชั่น