ข่าว

ชูธง ปฏิวัติเขียว เพื่อชาติ ใช้เกษตรสร้างเศรษฐกิจ

ชูธง ปฏิวัติเขียว เพื่อชาติ ใช้เกษตรสร้างเศรษฐกิจ

26 เม.ย. 2566

พรรคเพื่อชาติ หาเสียงเลือกตั้งจังหวัดตาก ชู ยุทธศาสตร์ปฏิวัติเขียว อยู่ดีกินดี หมดหนี้ ธกส. สร้างเศรษฐกิจจากการเกษตร

แกนนำพรรคเพื่อชาติประกอบด้วย  น.ส.ปริศรัฐฐ์ ติยะไพรัช หัวหน้าพรรค  นายยงยุทธ ติยะไพรัช วิทยากรพิเศษร.ต.อ.ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ประธานที่ปรึกษาพรรคร.อ.ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายแพทย์เรวัต วิศรุตเวชแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี และผู้สมัครสส.จังหวัดตาก ทั้ง 3 เขต ลงพื้นที่ตั้งเวทีปราศรัยย่อยเพื่อพบปะพี่น้องประชาชนที่วัดพบพระไทรงาม อำเภอพบพระ เพื่อชี้แจงและนำเสนอนโยบายของพรรคเพื่อชาติให้พี่น้องประชาชน ปฏิวัติวงการเกษตรกรรมใหม่

 

โดยใช้ทฤษฎีและแนวคิดที่เรียกว่า ปฏิวัติเขียว เพื่อให้เกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติของไทยกลับมาเป็นตัวนำเศรษฐกิจของชาติ ให้เกษตรกรรมผลิตอาหาร และนำรายได้ตลอดจนความได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศกลับสู่ประเทศไทย และมีสถานพยาบาลดูแลผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค

 

นาย ยงยุทธ ระบุว่าสิ่งที่สังคมไทยต้องตามหาขณะนี้คือ ยาต้านรัฐประหาร เพราะทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหารจะต้องมีการขอนิรโทษกรรม ฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า กลายเป็นวงจรอุบาทว์ ดังนั้น ในการหลุดพ้นวงจรดังกล่าว การใช้อำนาจรัฐอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่จะต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาว่าด้วยกันไม่เพิกเฉยต่ออำนาจรัฐที่ไม่ได้มาจากประชาชน

 

นอกจากนี้ คนรวยไม่กี่ตระกูลถือครองทรัพย์สินถึง 70% เขาจึงไม่จำเป็นต้องฟังเสียงร้องไห้ของประชาชน เพราะพวกเขาสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ คนไทยที่เหลือเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น จึงขอยืนยันว่า พรรคเพื่อชาติต่อสู้ได้ตรงเป้าหมายที่สุด เมื่อฝั่งหนึ่งใช้ปืนและอภินิหารของอำนาจทางกฎหมาย สังคมไทยจึงต้องยืนหยัดร่วมกันในการใช้สิทธิพลเมืองเพื่อต่อสู้

 

ส่วนคำกล่าวอ้างที่ว่าต้องทำรัฐประหารเพราะมีนักการเมืองทุจริต ยงยุทธ มองว่า เป็นเพียงวาทกรรมที่จะต้องหมดไปได้แล้ว เพราะทุกวันนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นพรรคพวกเดียวกันและถูกแต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร ยังเปิดเผยเองว่า พบเรื่องร้องเรียนการทุจริตโดยรัฐบาลปัจจุบันสูงถึง 2-3 แสนล้านบาท

 

โดยย้ำว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่จะต้องช่วยเหลือกันทุกฝ่าย เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถทำเพียงคนเดียวได้