ข่าว

'เรืองไกร' จี้กกต. สอบย้อนหลัง 'พิธา' ลงสมัครสส. ปี 2562

'เรืองไกร' จี้กกต. สอบย้อนหลัง 'พิธา' ลงสมัครสส. ปี 2562

29 พ.ค. 2566

'เรืองไกร' จี้กกต. สอบลักษณะลงสมัครสส. ของ'พิธา'ย้อนหลังปี 2562 พร้อมให้ถ้อยคำกรณีถือครองหุ้นสื่อITV ครั้งแรก

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบย้อนหลังการเป็น สส. เมื่อปี 2562 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกของพรรค โดยยื่นหลักฐานกรณีตัวอย่างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัย นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ สส.พรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครสส. เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อเป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็นสส.สิ้นสุดลง โดยศาลให้มีผลนับแต่วันสมัครส.ส.คือวันที่ 6 ก.พ. 2562 


นายเรืองไกร เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลดังกล่าว ยึดตามตัวบทกฎหมายเพียงว่า นายธัญญ์วาริน ถือหุ้นหรือไม่ และบริษัทยังประกอบกิจการหรือมีความสามารถที่จะกลับมาประกอบกิจการได้หรือไม่ โดยไม่ได้มีการวางหลักต้องถือมากน้อยแค่ไหน นายธัญญ์วาริน ถือหุ้นอยู่ใน 2 กิจการ ต่างจากนายพิธา ที่ถือหุ้นITV แต่ต่อมาในปี 2564 กกต.ก็ได้ยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้มาวินิจฉัยผู้สมัครสส.ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสส.จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 รวม 4 คำวินิจฉัย และมีการสั่งดำเนินคดีอาญาด้วย ทำให้เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงนายพิธา ถือหุ้นITVตั้งแต่ปี 2551 และปี 2562 นายพิธาเป็นผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ 

หากวันนี้กกต.จะวินิจฉัยเรื่องการถือหุ้นของนายพิธา ก็ต้องยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของกกต. โดยจะต้องย้อนไปพิจารณาว่าการถือหุ้นITVดังกล่าวของนายพิธา ก่อนปี 2562 และถือต่อเนื่องมานั้น เป็นเหตุให้นายพิธา สิ้นสมาชิกภาพการเป็นสส. ปี 2562 โดยต้องมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่นายพิธา ยื่นสมัครคือวันที่ 6 ก.พ.ใช่หรือไม่

 

"การที่นายพิธา ได้มาเป็น สส. มีการโหวตกฎหมายต่างๆไป ไม่ได้มีผลทำให้กฎหมายเหล่านั้นต้องเสียไป แต่เงินประจำตำแหน่ง หรือเงินเพิ่มผู้ช่วยผู้ชำนาญการรวมอีก 8 คน อาจจะมีปัญหาได้ จากข้อเท็จจริงนี้จำเป็นที่กกต.จะต้องย้อนกลับไปตรวจสอบคุณพิธา เมื่อปี 2562 ว่าสิ้นสมาชิกภาพส.ส.หรือไม่ โดยอ้างอิงคำวินิจฉัยของกกต.ที่ 1-4 /2564 1,2,3 และ 9/2564 ที่ลงนามโดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.เอง" นายเรืองไกร กล่าวว่า 

 

โดยวันนี้นายเรืองไกรได้เข้าให้ถ้อยคำในกรณีที่ยื่นตรวจสอบการถือครองหุ้นITVของนายพิธา เมื่อพบว่าคงถือหุ้น ในการสมัครรับเลือกตั้งปี 2566 และในฐานะหัวหน้าพรรคที่เซ็นรับรองผู้สมัคร สส. เขตเกือบ 400 เขตและ ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ขอให้วินิจฉัยว่า นายพิธาจะมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3)  ในฐานะผู้สมัคร สส. หรือไม่ และในฐานะผู้ยินยอมให้พรรคก้าวไกลเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จึงนำมาตรา 98 มาบังคับใช้ด้วย 

ส่วนที่นักวิชาการหญิงรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นผ่านรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในลักษณะว่าไม่มีปัญหา เมื่อขายหุ้นเรื่องก็จบ นายเรืองไกรเห็นว่า เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก จะทำให้สังคมและประชาชนเกิดความเข้าใจผิดอย่างมาก หากผิดก็ผิดตั้งแต่วันลงสมัครรับเลือกตั้ง ตนได้เก็บรวมรวมข้อมูลที่มีการเผยแพร่เรื่องผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ทั้งนี้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 23 และ 24 บังคับครอบคลุมไปถึงบัญชีนายรัฐมนตรีด้วย เมื่อออกแล้วมาเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อให้ได้ 376 เสียง ตนก็เห็นว่าขาดคุณสมบัติ 

หากได้รับเลือกเป็นนายกฯตนก็จะร้องเรียน อาจจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จึงอยากให้ทั้งนักกฎหมาย ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ไปทำความเข้าใจข้อกฎหมายอย่างถ่องแท้ อ่านกฎหมายให้แม่นๆ 


นอกจากร้อง กกต.โดยตรงตอนนี้แล้ว เมื่อ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว ตนก็ไปขอร้องให้ สส.และ สว. หรือสมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อส่งคำร้องให้ตรวจสอบคู่ขนานไปกับการตรวจสอบของ กกต. ตามแนวทางที่เคยยื่นคำร้องให้ตรวจสอบสมาชิกภาพ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เมื่อปี  2551 จนนายสมัครพ้นจากนายกฯ เพราะคำพิพากษาว่าเป็นลูกจ้าง จากหลักฐานใบหักภาษี ภงด.3  ไม่ได้ยึดตามพจนานุกรม  เช่นเดียวกับกรณีของนายพิธา ก็มีหลักฐานเป็นใบ บมจ.6 ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด จึงสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักฐานที่ถูกต้อง ซึ่ง กกต.ควรจะต้องนำไปประกอบการพิจารณา  ส่วนผู้วินิจฉัยคือศาลรัฐธรรมนูญ  


นายเรืองไกรยังกล่าวอีกว่าวันนี้มาให้ถ้อยคำต่อ กกต.เป็นครั้งแรก แต่ได้ยื่นเอกสารเรื่องดังกล่าว 6 ครั้ง และยังมีเอกสารเพิ่มเติมอีก คือ คำสั่งศาลปกครองและมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริษัทITVและการรายงานสถานการณ์จนถึงปี 2564 ทั้งนี้นายเรืองไก้ได้พยายามยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทITVยังดำเนินการกิจการอยู่