ชงเองกินเอง ลงเอย 'แสนปิติ สิทธิพันธุ์' จบเอง ลบโพสต์แซะ 'ก้าวไกล' -'พิธา'
มาไวไปไว โพสต์ข้อความบนอินสตราแกรมในแบบไฟลุก วิจารณ์แบบไม่ไว้หน้า ต่อ "ก้าวไกล "และ "พิธา " โดย " แสนปิติ สิทธิพันธุ์" ทายาทผู้ว่ากรุงเทพมหานคร หลังพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พยายามเดิมหน้าสู้ โดยเจ้าตัวที่หนุนหลัง "เพื่อไทย" อัด พรรคสีส้ม อายุ 2 ปี ทำอะไรบ้าง สุดท้ายคนเขียนลบ
นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ "แสนดี" บุตรนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ มีเนื้อความว่า
I am writing to express my sincerest apologies for expressing my opinion on various political parties and individuals. I would like to also apologize to any hard feeling this might have caused the public.
.
I regret my actions and would like to explain that I was only trying to express my opinion, I do not harbor hatred towards any parties or individuals.
.
Again, I sincerely apologized for causing any hard feelings, moving forward I am willing to listen to other people opinion as well as learning from everyone.
Sincere apology,
Sandee
.
"ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อการแสดงความเห็นต่อพรรคการเมืองและบุคคลต่าง ๆ ฉันอยากจะขอโทษสำหรับความรู้สึกแย่ ๆ ที่อาจก่อให้เกิดต่อสาธารณชน ฉันเสียใจกับการกระทำของฉัน และขออธิบายว่า ฉันแค่พยายามแสดงความคิดเห็นของฉัน ฉันไม่ได้เก็บงำความเกลียดชัง ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลใด อีกครั้ง ฉันขอโทษจากใจจริง ที่ทำให้รู้สึกลำบากใจ ก้าวต่อไป ฉันยินดีรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและเรียนรู้จากทุกคน
.
ขอโทษอย่างจริงใจ
.
แสนดี
.
การโพสต์ข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากที่เจ้าตัวได้วิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างเผ็ดร้อน เป็นภาษาอังกฤษ และถูกสื่อมวลชน นำไปเสนอข่าว ซึ่งต่อมาข้อความที่โพสต์เอาไว้ทุกอย่างถูกลบไปหมด คงเหลือเพียงข้อความที่แสดงการขออภัยในสิ่งที่ได้แสดงออก
"แสนปิติ สิทธิพันธุ์ "หรือ "แสนดี " โพสต์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ลงใน ไอจีสตอรี่ มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ อธิบายรวม 5 ข้อ ด้วยกัน โดย ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย รายนี้ มองว่าพรรคก้าวไกล ไม่เหมาะกับพรรคเพื่อไทย , พรรคก้าวไกล ควรเสียสละ เพื่อให้พรรคเพื่อไทย นำพาประเทศ
1 )ความสัมพันธ์ระหว่างก้าวไกล กับ เพื่อไทยแย่และอันตรายมาก เลิกกันเถอะครับ เราแค่ไม่เหมาะสำหรับกันและกัน มันก็แค่ความเป็นจริงทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
.
2)ถึงเวลาต้องเสียสละทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ ถึงคุณบ้างก้าวไกล เพื่อไทยจะได้นำประเทศไทยไปสู่อนาคต เราได้สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นเสือตัวที่ 5 มันไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ถ้าคุณเอาแต่บ่นเกี่ยวกับปัญหาสังคมและกฎหมาย เราต้องมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจและวิธีการนำเงินมาสู่กระเป๋าของคน อย่าให้เราทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ฟังผู้ใหญ่ เพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชน มูฟฟอร์เวิร์ด (Move Forward) คือ พรรคปลุกระดมและยกเลิกวัฒนธรรม
.
(3)ผมคิดว่าก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะค่อยๆ ก้าวผ่านจากช่วงฮันนีมูน ไปสู่ความสัมพันธ์แบบต่อรองที่แย่และหยาบคาย ต้องสื่อสารและแสดงออกก่อนจะเลิกกัน หรือการคืนดีกันอย่างเป็นมิตร
.
(4)ทีม MFP สีส้ม ขอพูดตรง ในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ในแนวร่วมเดียวกัน
1 การแก้ไขมาตรา 272 จะไม่มีทางเกิดขึ้น
2 การแก้ไขกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้น
3 พิธาเป็นนายกฯ จะไม่มีทางเกิดขึ้น NEVER.
4. ตราบใดที่ ก้าวไกลยังคงมุ่งมั่นที่จะโหวตให้กับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง คุณจะไม่มีวันชนะ
5 คุณไม่เคยชนะแบบถล่มทลายเลย มีช่องว่างแค่ 10 เสียง และคุณไม่ได้เปรียบเลย เพราะตาเดินคุณหมดไปแล้ว
6. วุฒิสภาและคนทั่วไปไม่สนใจเกี่ยวกับการประท้วงหรือการร้องเรียนของคุณ ยังไงพวกเขาก็จะมีอำนาจอีก 1 ปีอยู่ดี การเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าคุณได้คะแนนเสียง 65% เหมือนปี 2548 ของไทยรักไทย แล้วผมจะพิจารณาจุดยืนของผมอีกครั้ง
7.คุณไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นไปได้ ผู้ผูกขาดและบริษัทใหญ่ ไม่ต้องการให้คุณมีอำนาจ เกษตรกรต้องการนโยบายที่ทำให้เขาได้เงิน ไม่ใช่อุดมการณ์ทางเพศ หรือปลุกระดมผลงานไร้สาระ
8 สรุปแล้ว ไม่มีใครต้องการให้คุณมีอำนาจ มีแต่เด็กวัยรุ่นหัวรั้น กับเด็กดื้อ
9. พรรคคุณอายุแค่ 2 ปีเอง คุณทำอะไรลงไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การฟ้องร้องไม่จบสิ้น สามผู้บริหารสูงสุดของคุณ ถูกแบนเป็นเวลาสิบปีและ พิธา อาจจะดับด้วย
.
5)พูดให้ชัดก็คือ ผมคิดว่านโยบายของก้าวไกลนั้นใช้ได้จริง และเปลี่ยนแปลงได้ เป็นนวัตกรรมที่สร้างสรรค์มาก ผมแค่ไม่ชอบผู้นำหรือคนที่เกี่ยวข้อง พอๆกับกับขบวนการประท้วงทั้งหมดในปี 2020 ผมยังคงสนับสนุนประชาธิปไตย และผมไม่ต้องการความร่วมมือเพื่อไทยกับประวิตร-อนุทิน-รทสช. ขอเพียงเห็นด้วยที่จะเห็นต่าง เราทุกคนมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันสำหรับประเทศไทย