'ปดิพัทธ์" แจง ขาดผู้นำฝ่ายค้าน กระทบขั้นตอนเอาผิด สส.ก้าวไกล คุกคามทางเพศ
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุ กระบวนการทางสภา ยังไม่สามารถตรวจสอบพฤติกรรม 'สส ปราจีนบุรี' ก้าวไกล ที่มีประเด็นถูกร้องเรียนคุกคามทางเพศ อ้างเป็นเพราะยังไม่มีผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนกลไกของสภาฯก็ไม่เอื้อเทาที่ควร ด้านประธานคณะกรรมการวินัยก้าวไกล ขอให้อดใจรอการตรวจสอบ
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เปิดเผยว่า การดำเนินการกับ สส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล จากพฤติกรรมคุกคามทางเพศ กระบวนการทางรัฐสภา ที่ยังไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรม สส.ต่อกรณีดังกล่าว เนื่องจากยังไม่มีผู้ร้องเรียน กระบวนการส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนการทำงานยังรวมไปถึง การที่ต้องมีผู้นำฝ่ายค้านโดยเร็วที่สุด เพราะเรื่องคณะกรรมการจริยธรรม และคณะกรรมการสรรหาตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง ถ้าไม่มีผู้นำฝ่ายค้านก็จะดำเนินการไม่ได้
ไม่ใช่กลไกเดียวที่จะทำให้เกิดการตรวจสอบ ซึ่งตอนนี้เห็นหลักฐานที่ปรากฏ ที่เกี่ยวพันกับ สส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล แต่ต้องมีคำชี้แจงและหลักฐานเพิ่มเติ่มจากทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องด้วย ทั้งนี้คาดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะนาน รอทาง กกต. รับรองสถานะของหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็จะมีผู้นำฝ่ายค้าน กระบวนการต่าง ๆ ก็จะทำงานได้ อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพรรคก้าวไกลเพราะเรื่องนี้ยังไม่มีการร้องถึงสภาผู้แทนราษฏร
แต่ร้องเรียนไปที่พรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองก็มีคณะกรรมการจริยธรรมของตัวเอง และมีข้อบังคับของตนเอง ที่ไม่สามารถก้าวล่วงได้ ทางผู้ร้องมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ทาง ทั้งต่อพรรค หรือสภาฯก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลไกของสภายังไม่พร้อม ซึ่งสภาไม่สามารถหยิบยกเรื่องขึ้นมาพิจารณาเองได้ จะต้องมีผู้ร้อง เพราะไม่สามารถไปเก็บหลักฐานด้วยตัวเองได้
.
การตัดสินเรื่องนี้ขึ้นกับคณะกรรมการบริหารพรรค
.
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการวินัยของพรรค เปิดเผยว่าประเด็น สส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล เขต 2 ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางเพศ พรรคก้าวไกลได้รับเรื่องร้องเรียนเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ได้มีกระบวนการในการตั้งกรรมการสอบวินัยเฉพาะกิจเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ซึ่งได้สอบข้อเท็จจริงทั้งผู้ถูกกล่าวหา และผู้กล่าวหาที่อ้างว่าได้รับความเสียหาย รวมถึงพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
ในการสืบหาข้อเท็จจริง ทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวอ้าง ถึงตัวบุคคล เอกสาร และหลักฐานจำนวนมาก ถือว่ากระบวนการยังไม่สิ้นสุด และมีกระบวนการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ คงยังไม่สามารถระบุวัน เวลาได้ แต่พรรคได้สื่อสารกับผู้เสียหายเป็นระยะ และท้ายที่สุดเมื่อกระบวนการทางวินัยเสร็จสิ้นลง ตามข้อบังคับการประชุมของพรรคก้าวไกล ที่มีการแก้ไขใหม่ ต้องมีการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณา ซึ่งท้ายที่สุดจะอยู่ที่กรรมการบริหารพรรคว่าจะพิจารณาวินิจฉัยอย่างไร
ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการวินัยพรรคก้าวไกล
.
เข้าใจท่าทีสังคม คาดหวังสูงต่อ "ก้าวไกล"
.
"เพียงแต่ด้านหนึ่งเป็นเรื่องภายในของเรา แต่อีกด้านเป็นเรื่องที่ต้องสื่อสารให้สังคม ซึ่งคาดหวังกับพวกเราสูง ในการให้คุณค่ากับเรื่องเหล่านี้ มีความเข้าใจ ขออนุญาตว่าทุกขั้นตอน มีการใช้กระบวนการหลักฐานกันอย่างรอบด้าน เมื่อพิจารณาหลักฐานใดแล้ว ไม่ใช่ว่าจะตัดสินว่าใครถูกใครผิดเพียงอย่างเดียว"
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การที่มีผู้เสียหายมาร้องเรียน ย่อมต้องรวบรวมความกล้า และมีข้อมูลพยานหลักฐาน การตัดสินใจที่จะร้องเรียนต่อพรรค ก็ต้องถือว่าเรื่องเหล่านี้มีมูล แต่จะเป็นลักษณะความผิดแบบใด เข้าข่ายไปถึงขนาดไหน และจะตัดสินว่ามีความความผิดหรือไม่ มีระเบียบที่แตกต่างกัน เช่นกรณีกระทบชื่อเสียงพรรค ก็จะเป็นแบบหนึ่ง คุกคามทางเพศก็จะเป็นแบบหนึ่ง
.
ผิดจริงบทลงโทษ ตัดสิทธิที่พึงมี -ไม่ส่งลงสมัครสส.
.
โทษของกรณีนี้ หากผิดจริงก็ต้องถือว่าผิดวินัยร้ายแรง มีโทษสองสถานเท่านั้นคือตัดสิทธิที่พึงมี ซึ่งรวมไปถึงการตัดสิทธิไม่ส่งลงสมัครลงเลือกตั้งครั้งหน้า และการให้พ้นสมาชิกภาพของพรรค แต่ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะตอบ ว่าผลการพิจารณาเป็นอย่างไร แต่รับเรื่องมาจริงและมีกระบวนการสอบหลายครั้ง ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับคณะกรรมการวินัย และเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการวินัยมองว่า ยังขาดพยานหลักฐานในหลายประเด็น ซึ่งต้องทำให้รอบคอบที่สุด โดยเรื่องดังกล่าวร้องเรียนมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
.
กรรมการเห็นตรงกันต้องสอบเพิ่ม
.
เขากล่าวว่า ที่มีการเปรียบเทียบกับพรรคอื่นว่าเหตุใดพรรคก้าวไกลมีท่าทีกับพรรคอื่นเร็ว แต่พรรคตัวเองค่อนข้างช้า เรื่องนี้เมื่อข้อเท็จจริงของแต่ละรายไม่เหมือนกัน พยานหลักฐานไม่เหมือนกัน บางเรื่องสามารถใช้ผู้เสียหายมาสอบตัดสินได้เลย บางเรื่องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบและยอมรับความเป็นจริงก็สามารถตัดสินได้เลย แต่บางเรื่องเป็นกรณีที่สองฝ่ายต่างอ้างพยานหลักฐานเป็นจำนวนมาก กรรมการวินัยทั้ง 7 คน มีมติตรงกันว่ายังจำเป็นที่ต้องสอบข้อเท็จจริงบางประเด็นเพิ่มเติม และมีการแจ้งให้กรรมการบริหารพรรคทราบเป็นระยะ
"มีการตั้งคณะกรรมการวินัยเพิ่มเติมซึ่งเป็นสัดส่วนผู้หญิง 2 คน คือ ทนายแจม “ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์" ที่จะไม่ปล่อยเรื่องแค่นี้แน่นอน อีกคนคือทนายก้อย "นิตยา มีศรี" ที่ทำงานในประเด็นเหล่านี้ร่วมกับคณะกรรมการวินัยชุดเดิม ก่อนจะทิ้งท้ายว่าจะพยามสื่อสารอย่างเป็นระยะความคืบหน้า ยืนยันไม่ได้ดึงเวลาให้ล่าช้าแต่ขอเวลาเพื่อดูพยานหลักฐานที่รอบด้านและครบถ้วนก่อนที่จะพิจารณาและตัดสิน ตัวยังไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนได้" นายณัฐวุฒิกล่าว