‘สมชาย’ เตือน ‘เศรษฐา’อย่าดันทุรัง ‘แจกเงินหมื่น’-จี้กกต.ย้อนดูนโยบายพท.
‘สมชาย แสวงการ’ วุฒิสมาชิก เตือนสติ ‘เศรษฐา’ นายกฯ ฟังเสียงเตือน หยุดดันทุรัง ‘แจกเงินหมื่น’ ยกบทเรียนอดีตผู้นำหนีคดีซุกต่างประเทศ สงสัยปมสร้างบล็อกเชน มีนัยยะซ่อนเร้นหรือไม่-จี้กกต.ย้อนดูนโยบายพท.เข้าข่ายผิดกฏหมายเลือกตั้งหรือไม่
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) เปิดเผย ถึงโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรี สัญญาว่าจะให้ไว้ เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยก็จริง แต่ต้องรับฟังความเห็นต่างจากนักเศรษฐศาสตร์ ผู้ว่าการแบงค์ชาติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนักวิชาการด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเสียงของคนกลุ่มนี้ ออกมาสนับสนุนโครงการนี้ว่า จะได้คุ้มเสียอย่างไร
“แต่สิ่งที่ทุกคนออกมาเตือนคือ จะเกิดหายนะทางการเงิน และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งยังไม่เคยได้ยินเสียงชี้แจงใด ๆ จากรัฐบาล”
นายสมชาย ยังตั้งคำถามกับโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท นี้ ทั้งแหล่งเงิน เพราะข้อเท็จจริง คือรัฐบาลไม่มีเงินแล้ว และเหตุใดถึงไม่แจกเงินสดอย่างตรงไปตรงมา และยังต้องสร้าง บล็อกเชนใหม่ ทั้งที่มีแอปพลิเคชั่นอยู่แล้ว หรือมีนัยยะอื่นซ่อนอยู่หรือไม่ ที่อาจจะมีมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ แปลงเงินดำเป็นเงินขาว เข้ามาซื้อ และมาเบิกกับรัฐ ซึ่งตรงนี้มีมูลค่าเป็นแสนล้าน
อีกทั้งยังมีรายงานว่า การทำ “Super App” นี้ ต้องใช้เงินอย่างน้อย 12,000-20,000 ล้านบาท และนโยบายแจกเงินดิจิทัล จะต้องแจกทุกคนด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้งเศรษฐี มหาเศรษฐี คนชั้นกลาง ข้าราชการ สส. สว. นักเล่นหุ้น 3,000,000 ล้านกว่าคน รับเงินตรงนี้ด้วยหรือไม่ เพราะรัฐบาลเคยประกาศ จะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ แต่โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ทนั้นไม่ใช่ เพราะการแก้ปัญหาความยากจนจะต้องแก้แบบพุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่ต้องการ
นายสมชาย ยังเห็นว่า ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทย กำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นจะต้องใช้การอัดฉีดสเตอรอยด์ ให้กับคนไข้แบบนี้ เพราะเป็นการกระตุ้นที่มากเกินไป และจะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ไม่ตาย ก็หายแบบชั่วคราวไม่มีทางฟื้นแบบถาวร จึงทำให้ตนเองตั้งคำถามกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท นี้หลายเรื่อง
จี้กกต.ย้อนดูนโยบายพท.-เข้าข่ายผิดกฏหมายเลือกตั้งหรือไม่
โครงการแจกเงินดิจิทัล ไม่ต่างอะไรจากโครงการรับจำนำข้าว และ กกต.ควรจะย้อนกลับไปดูนโยบายของพรรคเพื่อไทยว่า จะใช้งบประมาณจากแหล่งใด เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้หรือไม่ ซึ่งหากเข้าข่ายอาจกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง นำไปสู่การร้องดำเนินคดียุบพรรคเพื่อไทยได้ เท่าที่ทราบตอนนี้ ปปช. สตง. และ กกต.ตั้งกรรมการติดตามเรื่องนี้แล้ว
“ยืนยันว่า ผมไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล และเมื่อศึกษา และตรวจสอบแล้ว อยากจะสื่อสารถึงรัฐบาลให้เลิกนโยบายดังกล่าว อย่าดันทุรังและนำเงินประเทศ 560,000 ล้านไปคิดใหม่ว่า จะทำอะไรให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะผู้ที่มีความรู้ ออกมาคัดค้านแม้อาจจะจำนวนน้อย แต่เป็นการค้านแบบสร้างสรรค์ และหวังดี เหมือนพระชวนไปทำบุญ 1 องค์ กับ 10 คนที่ชวนไปปล้น และสิ่งที่รัฐบาลไม่ได้บอกประชาชนให้ชัดเจนคือ หากเกิดความเสียหายขึ้นจะทำอย่างไร เพราะผู้ทำความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่เคยได้รับความรับผิดชอบ บางคนก็หนีคดีไปต่างประเทศ ซึ่งบทเรียนตรงนี้ เป็นบทเรียนที่รัฐบาลต้องคิดให้ดี”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนข้ามประเทศขณะเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าไม่เป็นความจริง หากมีหลักฐานท้าให้บันทึกเอาไว้เลย