ข่าว

"เศรษฐา" เสี่ยงผิด ถึงขั้นพ้นเก้าอี้ เหตุจงใจปฎิบัติหน้าที่ขัดต่อ รธน.

นายกฯ เสี่ยงผิด ถึงขั้นพ้นเก้าอี้ เหตุจงใจปฎิบัติหน้าที่ขัดต่อ รธน. สว.สายทหาร ยัน สว.มาจากหลายสายไม่เฉพาะ "สายลุงป้อม - ลุงตู่" ยันไม่มีใบสั่ง

19 พ.ค. 2567 หลังจากที่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" นัดพิจารณาคำร้อง 40 สว. เรื่องคุณสมบัติของ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนัก "นายกรัฐมนตรี" และการเสนอชื่อนายพิชิตขึ้นทูลเกล้าฯ ของนายกรัฐมนตรี "เศรษฐา ทวีสิน" โดยจะมีการบรรจุเข้าวาระการพิจารณา ของ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ในวันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ค. 2567 นี้

 

 

การประชุมของตุลาการ "ศาลรัฐธรรมนูญ" วันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ค.นี้ มีวาระพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ และจะพิจารณาว่าต้องพักการทำหน้าที่ไว้ก่อนระหว่างพิจารณาคำร้องหรือไม่ หากมีมติรับคำร้องไว้พิจารณา

 

 

นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งใน สว.ที่ร่วมลงชื่อในคำร้องส่ง "ศาลรัฐธรรมนูญ" ให้วินิจฉัยสถานภาพการเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน เพราะอาจขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ซึ่งกำหนดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี

 

 

โดยนายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีมีกระแสโต้แย้งจาก สว.บางส่วนในการร่วมลงชื่อ จนอาจทำให้คำร้องไม่สมบูรณ์ว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ระบุเอาไว้ชัด ให้ใช้เสียง สว. 1 ใน 10 ก็คือไม่น้อยกว่า 25 คน ฉะนั้นจึงเป็นไปตามขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญทั้งหมดแล้ว สมาชิกเสนอผ่านประธานวุฒิสภา จากนั้นประธานฯ ก็ส่งคำร้องให้ "ศาลรัฐธรรมนูญ" จึงไม่มีอะไรเป็นปัญหา

 

 

ส่วนรัฐมนตรีที่ถูกยื่นคำร้อง ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่นั้น อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ซึ่งศาลก็มีคำวินิจฉัยในแนวทางนี้มาหลายครั้งแล้ว คือให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เอาไว้ก่อน เพื่อรอคำวินิจฉัย อย่างกรณีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน กรณีมีข้อสงสัยว่าดำรงตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี"  ครบ 8 ปี หรือ 2 วาระแล้วหรือยัง ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นดุลยพินิจของศาล และในคำร้องของ สว. ก็มีคำขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แนบไปด้วย

 

สว.ประพันธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะหาก นายพิชิต ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี นายกฯ เศรษฐา ก็ต้องรับผิดชอบ อาจถึงขั้นถูกวินิจฉัยว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องเปลี่ยนนายกฯ ใหม่ ต้องซาวด์เสียงกันใหม่ โดยเรื่องนี้ถือว่ามีมูล เพราะหลายฝ่ายท้วงติงมาตั้งแต่ต้นแล้ว และนายกฯ ก็รับทราบ ตัวนายกฯ เอง จึงถูกยื่นคำร้องต่อ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ว่า  

 

"รู้อยู่แล้วว่านายพิชิต มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ และในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีครั้งแรก ก็ไม่ได้แต่งตั้งด้วยปัญหาเรื่องคุณสมบัติ แต่มาครั้งที่ 2 กลับแต่งตั้ง ถือเป็นการจงใจกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ และจริยธรรมของผู้บริหาร เสนอรายชื่อคนขาดคุณสมบัติขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ"

 

 

 

การดำเนินการในส่วนนี้ จึงมีปัญหาเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ มีปัญหาการแต่งตั้งบุคคลขัดต่อมาตรฐานจริยธรรม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160

 

สว.ประพันธ์ บอกด้วยว่า เรื่องนี้นายก ฯอาจไม่ได้คิด หรือ คิดไม่รอบคอบ เพราะกระทำไปตามความเห็นของผู้มีอำนาจเหนือกว่า เมื่อขอให้ตั้ง ก็ตั้งไป แต่นายกฯ ย่อมหนีความรับผิดชอบไม่พ้น อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า กรณีของ "นายกรัฐมนตรี" ยังต้องรอการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีของนายพิชิต ไม่มีประเด็นน่าสงสัยเลย โดยเฉพาะคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (7) ที่ว่า ต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือ มีการรอการลงโทษ

 

ฉะนั้นคุณสมบัติข้อนี้จึงเข้มกว่าคุณสมบัติการลงสมัคร สส. ที่เคยต้องโทษจำคุกได้ แต่ต้องพ้นโทษมาเกิน 10 ปีแล้ว (ซึ่งเป็นคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (6) ด้วย) แต่มาตราเดียวกัน ยังมีคุณสมบัติที่เข้มยิ่งขึ้นกว่าคุณสมบัติการลงสมัคร สส.

 

 

ส่วนกรณีที่นายพิชิต บอกว่า โทษจำคุกของตน มาจาก "คำสั่งศาล" ไม่ใช่ "คำพิพากษาของศาล" ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (7) นั้น สว.ประพันธ์ เผยว่า เป็นเรื่องที่นายพิชิตพูดและคิดเอาเอง  เพราะจริงๆ แล้วคำพิพากษาของศาล มี 2 ลักษณะ คือ "คำพิพากษา" กับ "คำสั่ง" แต่มีผลให้ต้องจำคุกเหมือนกันใช่หรือไม่ ฉะนั้นคำสั่งจึงมีผลตามคำพิพากษา อยากบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ตีความอย่างแคบ จึงขอให้ไปศึกษาคำวินิจฉัยเก่าๆ ของศาลรัฐธรรมนูญ

 

 

ยกตัวอย่าง อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช แค่ไปรับเงินบริษัทเอกชน ทำกับข้าวออกทีวี ก็ถือว่าเป็นลูกจ้างแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสัญญาจ้าง นี่คือการตีความแบบกว้าง และความเป็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่นำมาอ้าง ก็ไม่ใช่ถึงที่สุด

 

 

กล่าวโดยสรุป คำสั่งของศาลที่มีผลให้จำคุก ก็คือคำพิพากษา เพียงแต่บางเรื่องเป็นคำร้อง ศาลก็จะพิพากษาโดยใช้คำสั่ง แต่ถ้าเป็นคดีพิพาท 2 ฝ่าย ศาลจะใช้คำว่า "พิพากษา" แต่ก็มีผลบังคับแบบเดียวกัน คือบุคคลผู้นั้นต้องจำคุก

 

หากนายพิชิต และ นายกรัฐมนตรี ลาออกก่อนศาลมีคำวินิจฉัย ทุกอย่างจะจบหรือไม่ สว.ประพันธ์ กล่าวว่า หากลาออกทั้ง 2 คน ศาลอาจสั่งจำหน่ายคดี แต่ถ้านายพิชิต ลาออกคนเดียว คดียังไม่จบ เพราะยังมีประเด็นวินิจฉัยเรื่องนายกฯอยู่ เพราะถือว่ากระทำผิดสำเร็จไปแล้ว

 

แหล่งข่าวจาก สว.สายทหาร ระดับ "ผู้คุมเสียง สว." ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับ "ข่าวข้นคนข่าว" ว่า การล่าชื่อของ 40 สว. ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต ชื่นบาน และพฤติการณ์กระทำการขัดรัฐธรรมนูญของนายกฯ เศรษฐา นั้น ไม่มีใบสั่งจากใครแน่นอน

 

พร้อมยืนยันว่า สว.ที่ร่วมลงชื่อ ไม่ได้มีเฉพาะ "สายลุงป้อม - ลุงตู่" หรือสายลุงคนไหน แต่มาจากหลายสาย แม้แต่สายนักธุรกิจก็มี เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรมในบ้านเมือง

 

แหล่งข่าวบอกด้วยว่า เรื่องนี้มีน้ำหนักบานปลายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เพราะผู้มีอำนาจเหนือพรรคเพื่อไทย กระทำหลายเรื่องอย่าง "ย่ามใจ" ไม่เคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน พวกตนในฐานะ สว.จึงต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก่อนที่ทุกอย่างจะพังไปกว่านี้

ข่าวยอดนิยม