ข่าว

”พิธา“ เปิดข้อต่อสู้คดียุบ "ก้าวไกล" 9 ข้อ ชี้ ศาล รธน. ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

”พิธา“ เปิดข้อต่อสู้คดียุบ "พรรคก้าวไกล" 9 ข้อ ชี้ ศาล รธน.ไม่มีอำนาจพิจารณาคดียุบพรรค มองกระบวนการของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

9 มิ.ย.2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีการสู้คดี ล้มล้างการปกครอง ซึ่งอาจมีโทษถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกล

 

”พิธา“ เปิดข้อต่อสู้คดียุบ \"ก้าวไกล\" 9 ข้อ ชี้ ศาล รธน. ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

 

พร้อมกล่าวว่าในการพูดถึงการแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งดีถูกบรรจุไว้ในนโยบายพรรคและในช่วงการดีเบตหาเสียง ทุกพรรคล้วนพูดกันทั้งนั้น ทางศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้

 

เพราะอำนาจเฉพาะของศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับกฎหมาย และร่างกฎหมาย หน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและองค์กรอิสระ รวมถึงหน้าที่และอำนาจอื่นที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนและทีมงานศึกษา ไม่มีอำนาจข้อไหนที่มีการพิจารณายุบพรรคการเมือง แถลงแนวทางการสู้คดีล้มล้างการปกครอง ของพรรคก้าวไกล

"พิธา" แถลงพร้อมเปิดข้อต่อสู้คดียุบ พรรคก้าวไกล 9 ข้อ ชี้ ศาล รธน.ไม่มีอำนาจพิจารณาคดียุบพรรค มอง กระบวนการของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุไม่ให้โอกาสรับทราบโต้แย้ง -ปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นปฏิปักษ์ ไม่ใช่เรื่องนิติบุคคล โทษยุบพรรคต้องเป็นกรณีสุดท้าย ย้ำ ไม่จำเป็นต้องตัดสิทธิ์ทางการเมือง 44 สส.

 

”พิธา“ เปิดข้อต่อสู้คดียุบ \"ก้าวไกล\" 9 ข้อ ชี้ ศาล รธน. ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

ทั้งนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เปิดเผยถึง 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

”พิธา“ เปิดข้อต่อสู้คดียุบ \"ก้าวไกล\" 9 ข้อ ชี้ ศาล รธน. ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

ส่วนที่ 1. เขตอำนาจและกระบวนการ (Jurisdiction & Process)

 

1. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้

2. กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. "ไม่ชอบด้วยกฎหมาย"

 

ส่วนที่ 2 ข้อเท็จจริง (Facts)

3. คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้

4. การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์

5. การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นมติพรรค

 

ส่วนที่ 3.สัดส่วนโทษ (Penalty)

6. โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น

7. ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตัดสิทธิ กก.บท.

8. จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมือง ต้องได้สัดส่วนกับความผิด

9. การพิจารณาโทษ ต้องสอดคล้อง กับชุด กก.บห. ในช่วงที่ถูกกล่าวหา

 

ทั้งนี้ คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม ไม่ผูกพันกับคดีพิจารณายุบพรรคก้าวไกล และการพิจารณาโทษควรมี ความเข้มข้นต่างกัน เป็นข้อหาที่ต่างกันอย่างชัดเจน และจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงคดีนี้ใหม่ทั้งหมด  เพราะครั้งก่อนเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 คำวินิจฉัยคือ นายพิธา และ พรรคก้าวไกลใช้สิทธิและเสรีภาพ “เพื่อ” ล้มล้างการปกครอง  

 

แต่ ใน พ.ร.ป. พรรคการเมือง ตามมาตรา 92 เป็นการกระทำเลย ไม่มีคำเชื่อม แสดงว่าต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เผื่อหรือคาดการณ์ในอนาคต แตกต่างกันชัดเจน และในคดีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ยังไม่มีคำวินิจฉัยว่าเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ เพียงคดีก่อนกับคดีนี้เป็นคนละข้อหากันชัดเจน โดยเฉพาะคำวินิจฉัย ว่า หากปล่อยให้ผู้ถูกร้องกระทำการต่อไป หาก คือ “if” คือ ยังไม่เกิดขึ้น หรือ อาจเป็นเหตุให้ถึงหรือเป็นเหตุให้เกิด แปลว่ายังไม่ถึง ยังไม่เกิดขึ้น จึงชัดเจนว่าเป็นเพียงคำตักเตือน 

 

 

ส่วนที่มองว่า โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายนั้น การยุบพรรคสามารถเกิดขึ้นได้แต่ต้องถูกใช้อย่างระมัดระวัง และเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น  ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลถูกร้องทั้งเรื่อง การบรรจุเรื่องการแก้ไข ม.112 ในนโยบายหาเสียง  การแสดงออกความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ  คนของพรรคเป็นนายประกันหรือเป็นผู้ต้องหาในคดี ม. 112 ยึดหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์  และ กกต. ก็ยกคำร้อง ของพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด และไม่มีความจำเป็นฉุกเฉิน ที่ กกต. ต้องส่งหนังสือเตือน 

 

 

ส่วนข้อที่เป็นข้อกล่าวหานั้น สภาฯยังสามารถแก้ไขได้เพราะร่างแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลยังไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมสภา และถึงแม้จะสามารถนำเข้าสู่สภาได้ ก็ยังสามารถยับยั้งได้ด้วยระบบนิติบัญญัติ เป็นความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งก่อน หรือหลังประกาศใช้กฎหมายได้

 

 

นายพิธา ยืนยันมั่นใจในทั้ง 9 ข้อต่อสู้ และเชื่อเจตนา และการกระทำของ สส. แก้กฎหมายในฐานะ สส. ไม่ได้เป็นการล้มล้าง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง รวมถึงการเป็นนายประกัน เพราะสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่มีผู้ต้องหาตามมาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรค เป็น สส. ก็ยังไม่สิ้นสุดคดี รวมถึงการแสดงออกแก้ไขที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ก็เป็นการกระทำโดยทั่วไป 

 

 

ทั้งนี้การกระทำทั้งหมดที่เป็นรายบุคคลที่ถูกขยุมรวมกันเป็นข้อกล่าวหา ซึ่งไม่ได้เป็นมติพรรค และนิติบุคคล เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล หรือมีมติจากกรรมการบริหารพรรค 

 

เมื่อถามความชัดเจนถึงเรื่องการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคตามคำร้อง ของ กกต.  นายพิธา ระบุว่า ตามคำร้องของ กกต. ตัดสิทธิ์ ทั้ง 3 ชุด ชุดที่หนึ่ง กรรมการบริหารพรรคชุดที่ 1 , ชุดที่ 2 คือชุดที่ตัวเองลาออก และชุดที่ 3 คือ ชุดที่เติมสัดส่วนกรรมการบริหารภาคเหนือเข้ามา แต่ตัวเองมองว่าสัดส่วนของโทษควรจะสอกคล้องกับสัดส่วนของเวลา เพราะ กรรมการบริหารพรรคชุดที่ 3 เกิดขึ้นเพียงไม่เกิน 6 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นไม่ควรลากเข้ามา

 

“มันก็เป็นการยุบ 2 พรรคใน 5 ปี และเป็นการยุบ 5 ครั้ง ในรอบ 20 ปี ตนไม่กล้าที่จะเดาหรือคิด มันจะเกิดผลกระทบอะไรกับเมืองไทย หรือ การเมืองไทย บางทีทั้งเศรษฐกิจการเมืองไทย และสังคมเปราะบางอย่างนี้ ก็ไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น และถ้ามันไม่รุนแรง ร้ายแรงถึงที่สุด ผมคิดว่าที่สุด คือ การเตือนว่าให้หยุดการกระทำ น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตัดสิทธิ์ทางการเมือง นักการเมืองถึง 44 คน ซึ่งมีเจตนาดี อาจจะไม่สมบูรณ์แบบทุกคน แต่ถือว่าเป็นทรัพยากรทางการเมือง ทำผิดบ้างถูกบ้าง และ ถือเป็นเลือดใหม่ทางการเมือง เพราะทั้งหมดมีประสบการณ์มาไม่ถึง 5 ปี”

 

นายพิธา ยังกล่าวด้วยว่า ตอนนี้พรรคเดินหน้าเรื่องการต่อสู้คดี แต่ก็ยอมรับมีแผนสำรอง และคิดว่าหากมีการยุบพรรคจริง สส.ทั้งหมดจะไม่แตกแถว เพราะเรามีความเป็นเอกภาพ และมีความเป็นปึกแผ่น และจากประสบการณ์การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา การเป็นงูเห่า คือ การฆ่าตัวตายทางการเมืองแบบร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีโอกาสกลับมา สส. ได้เลย และครั้งนี้ประชาชนร่วมตรวจสอบด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ตัวเองจึงไม่ประมาทและไม่กังวล เพราะมีบทเรียนทั้งภายนอกและภายใน 

 

ขณะเดียวกันเราต้องรับฟัง แต่ยังไม่เชื่อข้อมูล คลิปวีดีโอที่เข้ามาหาตัวเองต้องมีการพูดคุยและตรวจสอบก่อน เพราะตัวเองไม่ได้ไร้เดียงสาว่ามีพรรคการเมืองพยายามดึง สส. พรรคก้าวไกลไปร่วมเพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เรื่องพวกนี้ตัวเองรู้ทัน แต่ก็ยังมั่นใจในตัว สส. ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้หูเบา เห็นแล้วมีอคติ

 

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผย หลังแถลง 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ถึงการตั้งพรรคสำรองว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ขณะนี้ "พรรคก้าวไกล" กำลังเรียงลำดับความสำคัญในการใช้ 9 ข้อต่อสู้ยุบพรรคก้าวไกล การต่อสู้คดี การใช้ข้อกฎหมายให้แม่น การเปรียบเทียบคดีต่างๆ ในประเทศไทย และในต่างประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นว่ากระบวนการ กกต. มีความบกพร่องขัดกับตัวบท กกต. เอง ทำให้สารตั้งต้นของคดีนี้ไม่มีความชอบด้วยกฎหมาย 

 

 

เมื่อถามย้ำว่า ยังไม่มีการตั้งพรรคสำรองใช่หรือไม่ นายพิธา บอกว่า “ยังไม่ถึงเวลา”

ข่าวยอดนิยม