"ปิยบุตร" เผย ก้าวไกล ขวัญกำลังใจยังดี มั่นใจหากยึดข้อกฎหมาย ไม่ถึงยุบพรรค
"ปิยบุตร" เผย พรรคก้าวไกล ขวัญกำลังใจยังดี มั่นใจหากยึดข้อกฎหมาย ไม่ถึงขั้นยุบพรรค ขออย่าใช้ความรู้สึกทางการเมืองตัดสิน
7 ส.ค. 2567 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ก่อนศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ว่า เมื่อวานนี้ สส.พรรคก้าวไกล ได้นัดประชุมกันและหลังการปิดประชุม ได้เชิญตนเองไปพูดเพื่อให้กำลังใจในฐานะที่เคยมีประสบการณ์ถูกยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองมาก่อน
เท่าที่ตนเองสังเกต สส.ของพรรค ขวัญและกำลังใจยังดี และวันนี้ สส.แต่ละท่าน ก็ไปทำงานที่สภาผู้แทนราษฎร เพราะมีญัตติและร่างกฎหมายสำคัญเข้าสภา ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ดี รวมถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ได้ลุกขึ้นอภิปรายในสภา ก่อนที่จะเดินทางไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ส่วน สส.ทุกคนยังทำงานเต็มที่ ทุกคนมั่นใจในข้อต่อสู้ที่ต่อสู้ไปนั้น ทำดีที่สุดแล้ว ดังนั้นรออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะทราบผลคำวินิจฉัยของศาล
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเองสอนวิชานิติศาสตร์ สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ตนเองก็จะพยายามอธิบายทุกครั้งให้เป็นไปตามหลักการและกฎหมายที่ถูกต้อง "อย่าเอาความรู้สึก อย่าเอาเหตุปัจจัย ทางการเมือง เข้ามาเป็นส่วนผสมในการตัดสิน" และตนเองจะพยายามดูแบบนี้ทุกครั้ง
แต่ก็เข้าใจดีว่าประสบการณ์ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการยุบพรรคเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน และมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงเป็นธรรมดาที่สังคมและประชาชนจำนวนมาก จะประเมินเรื่องนี้จากแง่มุมทางการเมือง
และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้ามองในแง่ข้อกฎหมาย ตนยังยืนยันว่า ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลที่มีการแถลงและเเผยแพร่เอกสารนั้น ก็ยังมีความมั่นใจ และมีความเห็นว่า "กรณีนี้ไปไม่ถึงการยุบพรรค" แต่สุดท้ายต้องรอดูศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร
ทั้งนี้ เท่าที่ตนเองได้อ่านเอกสารการสู้คดีของพรรคก้าวไกล ใครสนใจอยากให้โหลดไปศึกษา เพราะมองว่า นี่เป็นหนังสือเรียน ตำราเรียน บทความทางวิชาการขนาดย่อม ที่มีการสู้คดีไปตั้งแต่เขตอำนาจศาล, กระบวนการในชั้น กกต., และสู้ว่าพรรคของเขาไม่ได้เป็นการกระทำของพรรคแต่เป็นการกระทำของปัจเจคบุคคล และต่อสู้ประเด็นที่เสนอแก้กฎหมาย ม.112 ว่าเป็นกระบวนการนิติบัญญัติไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง
และยังมีการพูดไปถึงมาตรการการยุบพรรคใช้เท่าที่จำเป็น ใช้อย่างระมัดระวังเป็นข้อยกเว้นเป็นมาตรการสุดท้าย และต้องเป็นไปตามหลักการได้สัดส่วน ดังนั้นจึงเห็นว่า พรรคก้าวไกลสู้ประเด็นครบถ้วนทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะวินิจฉัยอย่างไร และจะต้องตอบประเด็นข้อโต้แย้งทั้งหมดอย่างไร เพราะไม่ได้เป็นการตอบแค่พรรคก้าวไกล และกกต.เท่านั้น แต่ต้องตอบประชาชน และสังคมด้วย เพราะคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการยุบพรรคก้าวไกลที่มีสมาชิกพรรคหลายหมื่นคน และผ่านการเลือกตั้งปีที่ผ่านมาได้คะแนนมากว่า 14.4 ล้านเสียง มีสส. 151 คน ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1
หากสุดท้ายพรรคก้าวไกล รอดคดี จะสะท้อนอะไรถึงประเด็นทางนิติศาสตร์ นายปิยบุตร ตอบว่า คงต้องดูและศึกษาคำวินิจฉัยก่อน แล้วจะมีข้อวิจารณ์ตามมา เพราะเชื่อว่าการจะจรรโลงประชาธิปไตย รักษาสถาบันองค์กรตุลาการศาบรัฐธรรมนูญได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการวิพากวิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้
ส่วนกรณีประเด็นการต่อสู้ดีเรื่องการยื่นคำร้องของ กกต. เป็นไปโดยมิชอบนั้น มองว่า เรื่องกระบวนการขั้นตอนในขั้น กตต. เท่าที่ได้ติดตามการแถลงของพรรคก้าวไกล มั่นใจในประเด็นนี้ เพราะกกต.เคยเสนอยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้อง ถ้ายึดตามแนวทางเดิมก็อาจจะยกคำร้องของพรรคก้าวไกลได้เช่นเดียวกัน
ส่วนมองว่า ผู้นำรุ่นใหม่ควรมีคุณสมบัติอย่างไรนั้น นายปิยบุตร บอกว่า ในฐานะที่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่มา แล้วน้องๆ ก็ไปอยู่ที่ก้าวไกล เขาก็เดินหน้าตั้งใจทำงาน ตนเองคิดว่า กลุ่มขั้วความคิด แบบอนาคตใหม่ ก้าวไกล ตอนนี้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นขั้วความคิดทางการเมือง และพลังทางการเมืองแบบใหม่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นคนที่จะขึ้นมารับบทบาทต่อไปทั้งในวันนี้และวันหน้า คงจะต้องยึดตามแนวทางของอนาคตใหม่ ก้าวไกล ต่อไป เพราะสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องของคนไม่กี่คน แกนนำพรรคไม่กี่คน สส.ไม่กี่คน แต่สำคัญที่ความคาดหวังของประชาชน และไม่ว่าวันนี้อะไรจะเกิดขึ้น พี่ๆ น้องๆ ในพรรคก้าวไกลก็จะอาสาเดินหน้านำพาความหวังไปให้สำเร็จ
นายปิยบุตร ยังกล่าวย้ำด้วยว่า จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/67 ไม่มีคำไหนที่บอกว่าแก้ไม่ได้สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่บอกว่าต้องแก้แบบไหน ส่วนพรรคไหน ส.ส. คนไหน สมาชิกพรรคการเมืองใดจะนำไปรณรงค์ ก็ต้องประเมินสถานการณ์ทางการเมือง แต่แต่ในความเห็นทางวิชาการในความเห็นทางวิชาการยืนยันเสมอมาว่า การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อดำรงอยู่ในประชาธิปไตย อย่างมั่นคง ยั่งยืน ให้สมกับพระเกียรติยศ ให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของประเทศไทย มีความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ม.112