“บิ๊กป้อม” ยิ้มร่าบอกสบายมาก หลังโดนมรสุมการเมือง "ไพบูลย์" ลั่นห่วงนายกฯ
“บิ๊กป้อม” ยิ้มร่าบอกสบายมาก หลังโดนมรสุมการเมือง "ไพบูลย์" ยัน พปชร. สบายดีไม่น่าห่วง คนที่ต้องห่วงคือ นายกฯ "อุ๊งอิ๊ง"
27 ส.ค. 2567 ที่พรรคพลังประชารัฐ หลังประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐเสร็จสิ้น โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เดินทางออกจากพรรค โดยผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ สบาย สบายมาก” พร้อมโบกมือให้กับผู้สื่อข่าว ก่อนที่จะขึ้นรถออกจากพรรคไป
นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแถลงข่าวร่วมกับกรรมการบริหารพรรคถึงผลการประชุม ว่า วันนี้ (29 ส.ค. 2567) ที่ประชุมได้มีมติ กำหนดการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคพลังประชารัฐครั้งที่ 2/2567 ที่กำหนดให้การประชุมใหญ่วันที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 10.30 - 13.00 น.ที่สำนักงานพรรคพลังประชารัฐ โดยจะมีการพิจารณา แต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติม และแต่งตั้งกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งเพิ่มเติม เพราะมีการลาออกกันไปหลายคน จึงต้องเพิ่มเติมให้ครบถ้วน
ทั้งนี้ ในที่ประชุมตนได้มีการแจ้งในที่ประชุมว่า มีปรากฏตามข่าว ว่าทางพรรคเพื่อไทยมีมติไม่ให้พรรคพลังประชารัฐ ร่วมรัฐบาล จึงฝากไปบอกพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ต้องออกมติใดๆ เกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะเรื่องของพรรคพลังประชารัฐ ไม่เกี่ยวอะไรกับเพื่อไทย แต่เกี่ยวตรงกับนายกรัฐมนตรี ในเรื่องของการที่นายกรัฐมนตรี ให้สัญญาประชาคมหรือข้อตกลงร่วมกันว่า การที่นายกรัฐมนตรี ได้มีคำมั่นกับพรรคพลังประชารัฐ ที่แสดงออกต่อสื่อสาธารณะ ว่าจะให้พรรคพลังประชารัฐลงมติเห็นชอบ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี
และให้คำมั่นไว้ว่าจะให้พรรคพลังประชารัฐ ได้มีที่นั่งในคณะรัฐมนตรีด้วยตามสัดส่วนเดิม และตำแหน่งเดิม พรรคพลังประชารัฐจึงได้มีการออกเสียงสนับสนุน ให้เป็นนายกรัฐมนตรี 39 เสียง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้ตอบสนองตามคำมั่นที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
นายไพบูลย์ ได้ยกกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 362 บัญญัติว่าบุคคลออกโฆษณาให้คำมั่น ว่าให้รางวัลแก่ผู้ซึ่งกระทำการอันใด ก็จำต้องให้รางวัลใดๆ ผู้ได้กระทำการอันนั้น ถึงแม้ไม่ใช่ว่าผู้นั้นจะกระทำการโดยเห็นแก่รางวัล
ซึ่งกรณีนี้นายกรัฐมนตรี ได้ให้คำมั่นและเมื่อให้คำมั่นแล้ว ก็ได้มีการประกาศว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ถือว่าครบตามคำมั่นแล้ว
"พรรคเราสบายมาก หัวหน้าพรรคมีความสุข มีความเข้มแข็งและแน่วแน่ที่จะดูแลพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้าพรรคไปตลอด ไปจนไม่ไหว ดังนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นท่านเฉยๆมาก และในที่ประชุมไม่ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้เลย เพราะไม่มีอะไรน่าห่วง
แต่ที่น่าห่วงคือนายกรัฐมนตรีมากกว่า เพราะการให้คำมั่นมาแล้วทำครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว นายกรัฐมนตรีเล่นไม่ปฏิบัติตามตามคำมั่น วิญญูชนโดยทั่วไปเขาก็จะว่าได้ ว่านายกฯ อาจจะขาดความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ผมว่าความเป็นห่วง น่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่า เพราะเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์เป็นเรื่องสำคัญ
นายไพบูลย์ ยังยกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 รู้หรือควรรู้ถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ของพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ถูกร้องที่ 2 แต่ยังเสนอแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 ให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ก็หมายถึงนายกคนที่แล้ว ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ก็ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และขาดคุณสมบัติข้อนี้ ก็เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมด้วย พร้อมย้ำว่าตนแค่ให้ข้อมูลข้อกฎหมายเฉยๆ
ส่วนการที่ยกข้อกฎหมายมาแบบนี้ หากนายกรัฐมนตรีไม่ทำตามคำมั่น พรรคพลังประชารัฐ จะใช้ข้อกฎหมายดำเนินการหรือไม่?
นายไพบูลย์ กล่าวว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคผู้ใหญ่ไม่ไปทำอะไรอย่างนั้น เราเพียงแค่บอก ถึงคำมั่น ที่ไม่ต้องมีสัญญา หรือ ลงลายมือชื่อเป็นการแสดงเจตนาเท่านั้น
"ขอถามกลับนายกรัฐมนตรี ถ้ามีคำมั่นแล้วไม่ปฏิบัติตามคำมั่นก็จะเป็นข้อครหา สังคมอาจจะติเตือน แต่พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องเปลี่ยนอะไร หากทำไปแล้วก็ทำให้จบ เพราะพรรคพลังประชารัฐมั่นคง และพร้อมที่จะทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ด้วยการดำเนินการของ สส.ของพรรค อย่างมั่นคงสถาพรตลอดไป" นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์ ยังย้ำว่า เป็นห่วงนายกรัฐมนตรี อย่ามาห่วงพรรคพลังประชารัฐเลย และย้ำว่ามติพรรคเพื่อไทย เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพรรคท่าน เราเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ถ้าไม่มีการแต่งตั้งคนของพรรคพลังประชารัฐตามคำมั่น ก็ไปเป็นฝ่ายค้านไม่เห็นเป็นไร เป็นฝ่ายค้านจะเสียหายตรงไหน ถ้าไปอยู่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่ไม่ทันไรก็มีปัญหาเรื่องคำมั่นแล้ว พรรคจะเสียชื่อประชาชนจะมองเราในด้านไม่ดี
ส่วนปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐนั้น นายไพบูลย์กล่าวว่า เป็นปัญหาในครอบครัวของพรรคพลังประชารัฐ คนอื่นไม่อยากให้เกี่ยว ในพรรคเป็นพี่เป็นน้องสนิทสนมกันมาตลอด เป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นเราก็คุยกันได้อย่างมีความสุขอยู่แล้ว ไม่ต้องมาห่วงเรา
สำหรับการประชุมใหญ่ของพรรค จะมีการขับ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า หรือไม่? นายไพบูลย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสูงว่า ไม่มีใครจะไปขับครอบครัวเรา เรามีความสุขที่อยู่ด้วยกัน และมีการพูดคุยกัน เป็นเรื่องของครอบครัวเรา ของพรรคพลังประชารัฐ
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าคนบ้านป่าฯ มีคลิปวีดีโอที่คนบ้านจันทร์ฯ เรียกรัฐมนตรีไปหารือ ในวันที่นายเศรษฐา หลุดออกจากนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่า ไม่ทราบ ถึงทราบก็ไม่รู้จะบอกทำไม ตอนนี้ก็ถือว่าไม่ทราบ