แพทองธาร ชี้ ครม.นิ่งแล้ว เหลือแค่สอบประวัติ แจงจับมือ ปชป. เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล
"แพทองธาร" ชี้ ครม.นิ่งแล้ว เหลือแค่สอบประวัติ แจงจับมือ ปชป. เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล เผย มีเหตุผลหลายอย่าง ไม่สามารถร่วมงานกับ พปชร. ได้
30 ส.ค. 2567 ที่ จ.สุโขทัย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึง ความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลว่า ค่อนข้างลงตัวนิ่งแล้ว เหลือเพียงการตรวจสอบคุณสมบัติ ส่วนจะเสร็จเมื่อไหร่นั้นคิดว่าใกล้แล้ว เพราะตรวจมาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว
เมื่อถามว่าการตรวจสอบคุณสมบัติมีอะไรที่ติดขัดหรือไม่ เพราะมีกระแสข่าวว่าบางคนมีปัญหา น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราส่งไปแล้ว ขอให้ใจเย็นนิดนึง เพื่อรอการตรวจสอบคุณสมบัติให้แล้วเสร็จหรือไม่
ส่วนสัปดาห์หน้าจะยื่นทูลเกล้าฯ เลยได้หรือไม่นั้น หากฝ่ายที่ตรวจสอบตอบกลับมาแล้วรายชื่อลงตัว เราก็จะทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่เช่นนั้นการทำงานจะติดปัญหาต่างๆ เช่น การลงพื้นที่วันนี้ติดเรื่องที่เป็นรัฐบาลที่ยังไม่ได้แถลงนโยบาย เราจะได้บอกประชาชนได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
เมื่อถามถึงการเตรียมนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ใกล้เสร็จหรือยัง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ใกล้เสร็จแล้ว
น.ส.แพทองธาร ยังให้สัมภาษณ์กรณีพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ว่า รัฐบาลที่ดี รัฐบาลที่จะช่วยเหลือประชาชนได้ เสถียรภาพเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่ได้เชิญพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วม การแก้กฎหมายต่างๆ ต้องมีเสียงมากพอ ไม่เช่นนั้นการแก้กฎหมายช่วยเหลือประชาชนอาจสะดุดได้
วันนี้ฝ่ายบริหารพรรคประชาธิปัตย์ไม่เหมือนในหลายทศวรรษ การที่เราร่วมรัฐบาลกัน ไม่ได้แปลว่าพรรคเพื่อไทยยอมรับการกระทำของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะมาก เราต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ การได้เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ คือปัจจัยที่ทำให้เรามีเสียงมากพอ
เมื่อถามว่าคนเสื้อแดงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.แพทองธาร ชี้มือมาที่ตัวเอง แล้วพูดว่า "นี่คือคนเสื้อแดง" ก่อนกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าต้องแก้ไขปัญหาให้ประชาชนให้ได้ และผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จ นี่คือความตั้งใจ เราทำนโยบายสำเร็จมาเยอะ ในเรื่องของการเมืองมีส่วนหนึ่งที่เราต้องทำให้มีเสถียรภาพให้ได้
ผ่านมาแล้ว 10-20 ปี หลายอย่างเปลี่ยนไป ผู้บริหารก็เปลี่ยนไป แม้ชื่อจะยังเป็นประชาธิปัตย์เหมือนเดิม แต่หลายอย่างในนั้นเปลี่ยนไปมาก คิดว่าเราต้องเดินหน้าต่อไป ถ้าเรามัวแต่คิดเรื่องการเมืองกันต่อไป ก็จะถ่วงหลังประเทศ และการฟ้องร้องอะไรต่างๆ ที่เป็นเรื่องเล็กๆมากมาย มันไม่ได้จำเป็นสำหรับการบริหารประเทศ
เมื่อถามว่าจะบอกคนเสื้อแดงที่เห็นต่างอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในฐานะนายกฯ ตนสัญญาจะเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ตนมาอยู่ตรงนี้จะทำเพื่อประชาชนทุกคน ตนเข้าใจความรู้สึกของคนเสื้อแดงดี เรื่องเสื้อแดงจะพูดไม่ได้เลยว่าไม่เข้าใจ ตนเข้าใจ แต่วันนี้เราพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปข้างหน้า เห็นประเทศชาติที่ดีขึ้นเตรียมไว้ให้ลูกหลาน วันนี้เราต้องเป็นผู้ใหญ่ที่เราต้องพร้อมด้วย นี่คือสิ่งสำคัญ
เมื่อถามว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงของพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า มันเหมือนประเทศที่เป็นเผด็จการมา เราไม่ทำการซื้อขายด้วย แต่วันหนึ่งเมื่อเขาเปลี่ยน เป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เราก็ซื้อขายกับเขาต่อ เป็นการมองไปข้างหน้า มองไปที่อนาคต ลักษณะจะเป็นเช่นนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญตรงจุดนั้น
อยากขอให้สื่อให้กำลังใจและผลักดันประเทศไปพร้อมกัน อย่าไปให้ความสำคัญอะไรอะไรที่ไม่สำคัญ อย่าให้ความสำคัญกับการฟ้องที่ไม่สำคัญ หรือประเด็นอะไรที่ไม่สำคัญ ขอให้ช่วยกันเพราะหน้าที่ตรงนี้หนักและไม่ง่าย ต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐเตรียมยื่นฟ้องนายกฯ ต่อองค์กรอิสระ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราคงไปห้ามเขาไม่ได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐ ก็ให้เป็นปัญหาของเขา และตนไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจ
เมื่อถามว่าเหตุผลที่ไม่เอาพรรคพลังประชารัฐเป็นเพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า มีเหตุผลหลายอย่างที่ไม่สามารถร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐได้
เมื่อถามว่าได้คุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะบิดาบ้างหรือไม่กรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาระบุว่าไ ด้ไปเยี่ยมนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจถึง 2 ครั้ง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อยากให้โฟกัสที่เรื่องสำคัญ
เมื่อถามต่อว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ น้อยใจที่ไม่ได้ตำแหน่งเลยออกมาแฉว่านายทักษิณครอบงำพรรคร่วมรัฐบาล โดยเรียกพรรคร่วมรัฐบาลไปประชุมที่บ้านจันทร์สองหล้า
น.ส.แพทองธาร กล่าวติดตลกว่า อาจจะเป็นตนมากกว่าที่ครอบงำนายทักษิณ ข้อเท็จจริง คือนายทักษิณไม่ได้ครอบงำ การปรึกษากันคือเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากจะหาเรื่องกันเช่นนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่มีการครอบงำอะไร ทุกคนมีตัวตน มีความคิดเป็นของตัวเอง มีคำปรึกษาจากทุกคนที่สามารถช่วยกัน ทำงานให้ประเทศต่อ ก็แค่นั้นเอง