ข่าว

"เรืองไกร" ยื่น กกต. สอบ "อุ๊งอิ๊ง" ปล่อยให้พ่อครอบครอง-เงื่อนงำลาออก 14 บ.

04 ก.ย. 2567

"เรืองไกร" ร้อง กกต . สอบ 2 ประเด็น "อุ๊งอิ๊ง" ปล่อยให้ "ทักษิณ" ครอบครองได้อย่างไรในฐานะนายกฯ พร้อมผิดสังเกตลาออกกรรมการ 14 บริษัทภายในวันเดียว ปฏิเสธเป็นคนเบื้องหลังยื่นร้องเพื่อไทย

วันที่ 4 ก.ย. 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องให้สำนักงานคณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง​ (กกต.)​ ตรวจสอบคุณสมบัติ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี​ ใน 2 ประเด็น 

 

1. กรณีเป็นกรรมการบริษัท 20 แห่ง ของน.ส.แพทองธาร ที่ยื่นออกลาจากกรรมการบริษัท​ ในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งมีผลทันที โดยตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 1153/1 แก้ไขเมื่อปี 2549 ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร แก้ไขเรื่องการลาออกจากกรรมการบริษัทว่า การจะลาออกให้ยื่นหนังสือไปที่บริษัทหรือจะยื่นต่อนายทะเบียนก็ได้ ส่วนการไปจดทะเบียนจะอยู่ในอีกมาตรา คือ ว่าถ้ามีกรรมการลาออกแล้ว กรรมการที่เหลือ มีเวลาไปจดแจ้งอีก 14 วัน ดังนั้นหนังสือเอกสารที่ตนคัดมา 20 บริษัทรวมกว่า 100 หน้า มายื่นต่อกกต. จึงมีข้อสังเกตว่า 

น.ส.แพทองธาร ยื่นลาออกที่บริษัท ที่ตั้งอยู่ใน 4 จังหวัด 14 บริษัทแรกที่กทม. 2 แห่งที่ปทุมธานีมีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ด้วย 1 บริษัท และ อยู่ที่นครราชสีมา 3 แห่งอยู่ลำพูน โดยยื่นด้วยตัวเองในวันที่ 15 ส.ค. ภายในวันเดียวได้อย่างไร 

 

ต่อมาวันที่ 16 ส.ค. สภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี​ ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า เดินทางไปยื่นใน 4 จังหวัดในเวลาเดียวกันได้อย่างไร พร้อมถามไปยัง น.ส.แพทองธาร ว่า โชว์เอกสารการลาออกได้หรือไม่ ท่านบอกว่า "ไม่ใช่เรื่อง" ซึ่ง กกต. ต้องตรวจสอบให้ชัด 

 

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  

 

2. เรื่องจริยธรรม น.ส.แพทองธาร​ ยินยอม ให้ นายทักษิณ​ บิดา มาครอบครองตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องพ่อ- ลูก แต่เป็นเรื่องของนายกฯ ของแผ่นดิน ตนยอมไม่ได้ เพราะอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ความแพ่ง ของ น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์​ โดยตนได้คัดคำร้องในเรื่องจริยธรรม​ ข้อ 8 เรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ให้คนอื่นยินยอมรับหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องครอบงำที่จะไปร้องยุบพรรค เพราะยังอ่านคำวินิจฉัยเต็มจากศาลรัฐธรรมนูญ​ไม่ได้ แต่อันนี้มีเหตุควรแก่การยื่นตรวจสอบแล้ว  

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า นายทักษิณให้สัมภาษณ์บอกว่าเป็นการครอบครองไม่ใช่ครอบงำ และท้าทายว่า ใครอยากร้องก็ร้องให้ดัง ซึ่งการกระทำนี้ถือว่า น.ส.แพทองธาร ยืนยอมให้พ่อเข้ามาครอบครองจริง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินของคนไทยทุกคน ไม่สามารถทำได้ถือว่า "ผิดจริยธรรมร้ายแรง" จึงขอย้ำตามข้อกฎหมายได้ชัดเจน เพื่อให้คนที่ยังไม่เข้าใจและกล่าวหาว่า ตนเองกล่าวหาคลาดเคลื่อนได้เข้าใจ

 

ทั้งนี้คำว่า "ครอบงำ" อยู่ในพระราชบัญญัติ​ประกอบ​รัฐธรรมนูญ​ (พ.ร.ป.)​ ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 แต่ไม่มีคำว่า"ครอบครอง" ในกฎหมายดังกล่าว ตนจึงต้องยกคำพิพากษาศาลฎีกาและพจนานุกรม​ให้ กกต. ดูว่า คำว่าครอบครองหนักกว่าหรือไม่ และคำว่าครอบครองไม่สามารถร้องในมาตรา 28 เพราะไม่มีบัญญัติคำนี้ จึงไม่สามารถไปขยายความกฎหมายเองได้ แต่จะต้องไปปรับกับมาตรฐาน​ทางจริยธรรม​ ซึ่งมีกำหนดข้อห้ามไว้ 22 ข้อ รัฐมนตรี​ใหม่ได้มีการตรวจสอบ​แน่ ยืนยันว่าไม่ได้ร้องแค่นายกรัฐมนตรี​เพียงคนเดียว แต่ตนจะร้องหมดทุกฝ่าย และไม่ได้มีนัยยะทางการเมือง ถ้ามีเหตุตนก็ร้อง วันนี้ยังไม่ร้องยุบพรรค เพราะยังไม่เห็นคำวินิจฉัย 

 

ส่วนที่มีคนถามว่าเป็นบุคคลนิรนามที่มาร้องเพื่อไทยหรือเปล่า นายเรืองไกร บอกว่าไม่ใช่ ตนไม่เคยปิดชื่อ