ข่าว

ศาลฎีกาตัดสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี “สมชาย เล่งหลัก” อดีตผู้สมัคร สส.สงขลา ภูมิใจไทย

23 ก.ย. 2567

เปิดคำพิพากษา ศาลฎีกาเเผนกคดีเลือกตั้งตัดสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี “สมชาย เล่งหลัก” อดีตผู้สมัคร สส.สงขลา ภูมิใจไทย จ่ายเงินซื้อเสียง หลังลูกน้องโดนรวบคาเงินของกลาง

23 ก.ย.2567 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ลต สส 4/2567 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องขอเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง นายสมชาย เล่งหลัก อดีตผู้สมัครสส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

 

คำฟ้องสรุปว่า ผู้ร้องได้รับรายงานกรณีมีเหตุอันควร สงสัยว่าผู้คัดค้านกับพวกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ. 2561 มาตรา 73วรรคหนึ่ง (1 ) ผู้ร้อง ไต่สวนแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2566  ตำรวจ สภ.หาดใหญ่ ร่วมกันจับกุม นายวินัย พร้อมยึดบัญชี รายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลในพื้นที่ตำบลควนลัง ตำบลคลองแห ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ และตำบลท่าช้าง ตำบลแม่ทอม ตำบลบางกล่ำ อำเภอบางกล่ำ ฉ่ำ จังหวัดสงขลา จำนวน 16 แผ่น ซึ่งซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายคาดอกของนายวินัย กับธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาท และแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านจำนวน 2 แผ่น ซึ่งอยู่ภายในรถยนต์ ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ เป็นของกลาง และมีหลักฐานว่า พ.ต.อ.ถวัลย์กับผู้คัดค้าน มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้าน สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์ จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย ผู้คัดค้าน

ผู้คัดค้านยื่นค้านว่า ผู้คัดค้านไม่รู้จักหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์ บุคคลทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียง หรือช่วยเหลือในการหาเสียงให้ผู้คัดค้าน ธนบัตรของกลาง 1 เเสนบาท ไม่ได้เป็นของผู้คัดค้านที่จัดเตรียมไว้เพื่อจะให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีรายชื่อ

 

ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไต่ส่วนและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า นายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์ จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ทำให้ผลการเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตที่ 9 จังหวัดสงขลา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้าน มิให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อสับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจ

 

ทางไต่สวนได้ความจากพยานผู้ร้องทั้งสองและนายสมภพได้รับแจ้งจากเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองควนลัง ว่า มีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่ข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง  พยานทั้งสองกับนายสมภพไปดูครั้งแรก พบเพียงรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ติดสติกเกอร์หมายเลข 7 สีแดง จอดอยู่แต่ไม่พบผู้ใดอยู่ในบริเวณดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 10นาที ได้ไปดูที่รถคันดังกล่าวอีกครั้ง พบชายคนหนึ่งทราบภายหลังชื่อ นายวินัยกำลังยืนลอกสติกเกอร์ซึ่งติดอยู่ที่รถยนต์ จึงได้สอบถามว่ากำลังทำอะไรและรถยนต์เป็นของใคร นายวินัยมีอาการตกใจ พวกพยานจึงโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจสอบ

ศาลฎีกา

ได้ความจากพยานผู้ร้องปาก ร.ต.ต.สมภพ รักสนิท (ยศในขณะเกิดเหตุ) ว่า หลังจากได้รับแจ้งว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งที่บริเวณข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง พยานพร้อมด้วยตำรวจอาสาเดินทางไปที่เกิดเหตุพบชายสามคนยืนโต้เถียงกันอยู่ใกล้ ๆ รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ทราบในภายหลังว่าชื่อ นายณัฐวุฒิ นายอุทิศ และนายวินัย

 

พยานสอบถามนายวินัย ซึ่งให้การยอมรับว่า เป็นหัวคะแนนของผู้คัดค้าน พร้อมกับเอาบัญชีรายชื่อบุคคลและหมายเลขโทรศัพท์มาให้พยานดู พยานนำตัวนายวินัยพร้อมของกลางที่ยึดได้ไปที่ป้อมยามควนลัง และต่อมาได้นำไปส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน

 

ได้ความจากพยานผู้ร้องปาก ด.ต.องอาจ วิกรเมศกุล เจ้าพนักงานตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็วซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้ร้องให้ทำหน้าที่ป้องปรามและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า หลังจากได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน กกต. พยานกับพวกไปที่เกิดเหตุไปที่ป้อมยามควนลัง พบนายวินัยนั่งอยู่กับ ร.ต.ต.สมภพ พยานสอบถามนายวินัยได้ความว่า นายวินัยได้โควตาซื้อเสียงมา 40 หัว

 

และได้ความจากพยานผู้ร้อง นายมนพ ชูมณี ประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ว่า พยานเป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ ของพ.ต.อ.ถวัลย์กับโทรศัพท์ของผู้คัดค้าน พบว่ามีการติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ

 

ส่วนผู้คัดค้านอ้างเป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้าน ว่า ผู้คัดค้านไม่รู้จัก พ.ต.อ.ถวัลย์ และไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์ โทรศัพท์เป็นครื่องที่ผู้คัดค้านใช้ส่วนตัว ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกหมายเลขใช้ประจำอยู่ที่ศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ประชาชนโดยทั่วไปสามารถโทรศัพท์ติดต่อมาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขดังกล่าวได้ โดยผู้คัดค้านมีนายวินัย เป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้าน ขออนุญาตศาลถามว่า พยานไม่เคยเห็นธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาท ของกลาง และ มีพ.ต.อ.ถวัลย์เป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านว่า ธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาท พยานยืมมาจากนายพิสิทธิ์ พยานไม่รู้จักกับผู้คัดค้านมาก่อน ทราบแต่เพียงว่าผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทย

 

เห็นว่า ผู้ร้องมีนายณัฐวุฒิหรือคุณกฤต และนายอุทิศซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่พยานได้รับแจ้งจากเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองควนลังว่า มีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่ และพยานทั้งสองได้ไปตรวจสอบ จนกระทั่งมีเจ้าพนักงานตำรวจได้มาตรวจค้นตัวนายวินัย และรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในที่เกิดเหตุได้เป็นลำดับและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากนายสมภพที่เบิกความว่า ได้ร่วมเดินทางไปกับนายณัฐวุฒิและนายอุทิศและเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายณัฐวุฒิและนายอุทิศ เดินไปพูดคุยกับนายวินัยโดยขณะนั้น พยานทั้งสองนั่งอยู่ในรถ

 

อีกทั้งยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปาก ร.ต.ต.สมภพเป็นผู้ค้นตัวนายวินัยและรถยนต์ การที่พยานของผู้ร้องทุกปากซึ่งล้วนแต่รู้เห็นเหตุการณ์มาด้วยโดยตรงเบิกความได้สอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธเช่นนี้ ทำให้น่าเชื่อว่าพยานทุกปากเบิกความไปตามจริง

 

ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากดาบตำรวจองอาจว่า ขณะที่นายวินัยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ป้อมยามควนลัง ดาบตำรวจองอาจได้สอบถามนายวินัยได้ความว่านายวินัยโควตาซื้อเสียงมา 40 หัว คำเบิกความของดาบตำรวจองอาจดังกล่าวจึงยิ่งเป็นการให้พยานผู้ร้องมีน้ำหนักน่ารับฟัง

 

เมื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อบุคคลและหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งนายวินัยยอมรับว่า เป็นของตน ก็พบว่าในบัญชีรายชื่อแผ่นที่ 2 มีข้อความเขียนว่า "แกนนำรายชื่อ" พร้อมกับระบุชื่อ ช่างดอน พี่พา น้องไก่ น้องเหมียว น้องบุ้ง เจือร น้องมาย น้องอุ้ม น้องเลอะ พี่ณิชา ส่วนในช่อง ผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุชื่อนายวินัย บัวทอง ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม เเละรายชื่ออื่นๆ

 

ซึ่งบุคคลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 9 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นเขตที่ผู้คัดค้านลงสมัครรับเลือกตั้ง เช่นนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการจัดทำบัญชีขึ้นเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ซึ่งในข้อนี้นายวินัยก็ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ว่า กระดาษที่มีรายชื่อบุคคลที่เจ้าหน้าที่ค้นเจอเป็นเอกสารที่มีรายชื่อลูกค้าที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน และจะนำไปเสนอให้กับผู้ใหญ่เพื่อแลกเงิน เนื่องจากประสบปัญหาการเงินและนอกจากบัญชีบุคคลเจ้าพนักงานตำรวจยังยึดธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาท บนรถยนต์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในความครอบครองดูแลของนายวินัย ส่วน พ.ต.อ.ถวัลย์ นั่งรอนายวินัยอยู่ที่ร้านกาแฟ ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร เมื่อนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับของกลางที่ยึดได้ที่ตัวนายวินัยและที่ยึดได้จากรถยนต์ของพ.ต.อ.ถวัลย์ ซึ่งติดสติกเกอร์หมายเลข 7 ไว้รอบคันมาพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน พฤติการณ์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ที่ปรากฏว่าได้เดินทางไปพร้อมกับนายวินัย หลังจากจอดรถยนต์ของตนไว้ในที่เกิดเหตุแล้ว ก็นั่งช้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายวินัยไปพูดคุยกันต่อที่ร้านกาแฟ จากนั้นมอบกุญแจรถยนต์ของตนให้นายวินัยไปไขประตูก่อนที่ถูกตำรวจจับกุม ทำให้เชื่อได้ว่านายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์ จะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง

 

ส่วนที่ผู้คัดค้านโต้แย้งไม่ได้กระทำการตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง โดยมีนายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์มาเป็นพยาน เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของนายวินัย ที่เบิกความว่าไม่เคยเห็นเงินจำนวน 1 เเสนบาทอันเป็นการปฏิเสธว่า ไม่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อ นอกจากจะเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ แล้วยังขัดแย้งกับพฤติการณ์แห่งคดีที่ปรากฏว่า

 

ขณะเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมยึดธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาทเป็นของกลาง นายวินัย ก็อยู่ด้วย ธนบัตรจำนวนดังกล่าว พ.ต.อ.ถวัลย์ เบิกความยอมรับว่าได้เก็บไว้ที่ช่องใส่ของด้านหลังเบาะนั่งข้างคนขับ คำเบิกความของนายวินัยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ในส่วนของ พ.ต.อ.ถวัลย์ ซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและเบิกความต่อศาลว่า ธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาท ดังกล่าวเป็นเงินที่ตน ยืมมาจากนายพิสิทธิ์เพื่อส่งไปให้บุตรสาวซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่นายพิสิทธิ์ ได้เก็บรวบรวมเงินของลูกค้าที่มาซื้อผัก

 

โดยมีนายพิสิทธิ์ มาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ได้ให้พ.ต.อ.ถวัลย์ยืมเงินไปจริง เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากสภาพของธนบัตรจำนวน 1 เเสนบาทของกลาง พบว่าอยู่ในสภาพค่อนข้างใหม่และมีการจัดเก็บอย่างดี โดยรัดด้วยสายรัดเงินของธนาคาร ซึ่งผิดวิสัยของการจัดเก็บเงินของพ่อค้าโดยทั่ว ๆ ไป ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นงินที่นายพิสิทธิ์เก็บรวบรวมมาจากคนที่มาซื้อผักของนายพิสิทธิ์ อีกทั้งหากเป็นเงินที่ พ.ต.อ.ถวัลย์ ยืมมาเพื่อส่งไปให้บุตรสาวของตนซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศจริง พ.ต.อ.ถวัลย์ก็น่าจะให้ความสำคัญแก่เงินจำนวนดังกล่าวโดยเก็บไว้กับตัว ไม่น่าจะเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งจอดอยู่ในจุดที่ตนไม่สามารถมองเห็นได้ คำเบิกความของ พ.ต.อ.ถวัลย์และนายพิสิทธิ์จึงมีพิรุธน่าสงสัย

 

ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ ที่เก็บเงินจำนวนดังกล่าวไว้ในรถยนต์และมอบกุญแจรถให้แก่นายวินัย ใช้เปิดประตูรถโดยลำพัง ทั้ง ๆ ที่ไม่สนิทคุ้นเคยกันมาก่อนและเป็นผู้ที่มีปัญหาทางการเงิน ยิ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเงินจำนวนดังกล่าว ไม่ใช่เงินที่พ.ต.อ.ถวัลย์ ยืมมาเพื่อส่งไปให้บุตรสาว แต่น่าเชื่อว่าเป็นเงินที่ พ.ต.อ.ถวัลย์ ส่งมอบให้นายวินัยไปใช้ในการซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อ

 

พยานหลักฐานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของนายวินัยและ พ.ต.อ.ถวัลย์เป็นการกระทำเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านแล้ว

 

จึงต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้กระทำการดังกล่าวหรือไม่

 

เห็นว่า นอกจากข้อเท็จจริงจะได้ความจากที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านนำสืบรับกันว่า ขณะเกิด เหตุรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ซึ่งเป็นของพ.ต.อ.ถวัลย์มีสติกเกอร์ หมายเลข 7 อันเป็นหมายเลขของพรรคภูมิใจไทย และเป็นหมายเลขเดียวกับของผู้คัดค้าน ที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงติดอยู่ และในรถยนต์คันดังกล่าว มีแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านอยู่ด้วย 2 แผ่น ข้อเท็จจริงความจากคำถามของพยานผู้ร้องว่า จากการตรวจสอบหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์โดยตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพย์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ กับโทรศัพท์ของผู้คัดค้าน และโทรศัพท์ ซึ่งผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นเครื่องที่ใช้อยู่ในศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของผู้คัดค้าน พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 3 เม.ย.-30 พ.ค. 2566 มีการติดต่อระหว่างกันหลายครั้ง ซึ่งในข้อนี้ผู้คัดค้านก็เบิกความรับว่า ในวันที่  13 พ.ค.2566 ได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.ถวัลย์จริง

 

โดยสอบถามว่า เสียงส่วนใหญ่ไปทางไหน จากข้อเท็จจริงดังกล่าว นอกจากจะแสดงให้เห็นว่า พ.ต.อ.ถวัลย์มีความเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านและ พ.ต.อ.ถวัลย์รู้จักคุ้นเคยกันและมีการติดต่อประสานงานกันตลอดเวลา มิใช่ไม่รู้จักกันตามที่ผู้คัดค้านและพ.ต.อ.ถวัลย์กล่าวอ้าง พ.ต.อ.ถวัลย์ก็ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและมาเบิกความต่อศาลในฐานะพยานผู้คัดค้านยอมรับว่า ในวันที่ 13 พ.ค.2567 ได้เดินทางไปที่ร้านกาแฟที่บ้านท่าท้อน ตำบลควนลัง

 

ระหว่างอยู่ที่ร้านนายวินัยเดินเข้ามาทักทายพูดคุยกัน จากนั้น พ.ต.อ.ถวัลย์และนายวินัยเดินทางออกจากร้านกาแฟดังกล่าวไปยังร้านกาแฟอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านกาแฟที่ พ.ต.อ.ถวัลย์นั่งอยู่แล้วนายวินัยเดินเข้าไปทักทายนั้น แม้ พ.ต.อ.ถวัลย์จะพยายามเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าจำชื่อไม่ได้ แต่ก็ได้ความจากถ้อยคำที่นายวินัยให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและที่นายวินัยมาเบิกความ

 

เมื่อนำข้อเท็จจริงส่วนนี้มาพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากถ้อยคำที่นายวินัยให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ทำให้เชื่อได้ว่านอกจากการติดต่อกันทางโทรศัพท์แล้ว พ.ต.อ.ถวัลย์ ยังเดินทางไปพบและพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ร้านกาแฟแกรนด์ ลาชีส ด้วย

 

แม้จะไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า พ.ต.อ.ถวัลย์ ติดต่อพูดคุยกับผู้คัดค้านในเรื่องอะไรบ้าง แต่มื่อพิจารนาจากข้อเท็จริงที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 พ.ค. 2567 ที่ปรากฏว่า พ.ต.อ.ถวัลย์ ออกจากร้านแกรนด์ ลาซีส ได้ร่วมเดินทางไปกับนายวินัยและนำรถยนต์จนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพบหลักฐาน ต่าง ๆ จากนายวินัยเเละในรถยนต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เกี่ยวกับการจัดเตรียมเพื่อให้เงินจูงใจให้แก่ผู้คัดค้าน ทำให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการกระทำของนายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์ รู้เห็นกับการกระทำของนายวินัยและพ.ต.อ.ถวัลย์

 

สำหรับที่ผู้คัดค้านโต้แย้งมาว่า พยานหลักฐานผู้ร้องได้มาโดยมีลักษณะคุกคาม บังคับให้จำยอม ทำให้กลัว เป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจรับฟังได้ นั้น เห็นว่า คดีนี้ไต่สวนคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานหลักฐานของกลาง และไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้ที่อ้างว่าทำการคุกคามตนแต่อย่างใด จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่ามีการกระทำดังกล่าว

 

ศาลจึงสามารถรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ผู้ร้องนำสืบมาได้ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้นายวินัยและ พ.ต.อ.ถวัลย์ จัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงิน ได้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง อันเป็นการทำฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มา ส.ส. มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1 ) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่งตามคำร้อง

 

กรณีจึงต้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน

 

พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นควรเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปี พิพากษาให้ตัดสิทธิสมัครเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา