"อนุทิน" ยืนยันไม่มีใครครอบงำ "ภูมิใจไทย" เลือก "แพทองธาร" เป็นมติพรรค
"อนุทิน" ยืนยันไม่มีใครครอบงำ "ภูมิใจไทย" แน่นอน ทุกอย่างเป็นมติพรรค หลัง กกต. รับคำร้องยุบ "เพื่อไทย-พรรคร่วม"
กรณีที่มีรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. รับคำร้องยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วม จากเหตุนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการครอบงำ ชี้นำ โดยเห็นว่าคำร้องมีมูลและให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
21 ต.ค. 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ในส่วนของ กกต. ใครจะไปร้องเรียนอะไรก็ต้องรับไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ฉะนั้นหากจะต้องมีการไปไต่สวน สอบสวน หรือให้ปากคำต่างๆ ตนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือทุกอย่าง แต่ในเรื่องของคำว่า "ครอบงำ" ยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคภูมิใจไทยถ้าจะมีการครอบงำจะต้องครอบงำโดยหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถที่จะตัดสินใจแทนพรรคได้ แม้กระทั่งตัวหัวหน้าพรรคเอง ทุกอย่างต้องออกมาจากการประชุมและผ่านมติของกรรมการบริหารพรรคอย่างเป็นทางการ ฉะนั้นในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลถูกร้องเรียนไปด้วย นายอนุทิน มั่นใจว่า ทุกพรรคร่วมรัฐบาลมีหลักการที่เหมือนกัน คือ โดยธรรมชาติไม่มีทางให้ใครเข้ามาครอบงำแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรค
ส่วนเรื่องการตัดสินใจยกมือสนับสนุนให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2567 ก็เป็นไปตามมติของกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยทุกประการ จึงยืนยันได้ว่า เป็นไปตามครรลองที่เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับพรรคการเมืองที่มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลว่า คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่มีจำนวนที่นั่งสูงสุดในสภาผู้แทนราษฎรและเป็นแคนดิเดตที่พรรคนั้นๆเสนอชื่อให้พี่น้องประชาชนได้พิจารณาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง
หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน ต้องยุติบทบาทนายกรัฐมนตรีไป มีการนัดประชุมพรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำแจ้งมาว่า มีความประสงค์ที่จะเสนอ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาลทุกคนจึงยินดีที่จะให้การสนับสนุน ดังนั้นการที่จะบอกว่า มีคนอื่นมาครอบงำ ตนมองว่าเป็นความคิดที่ไม่ประสงค์ดีกับรัฐบาล แต่เป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้องพยายามหาเหตุอะไรต่างๆขึ้นมาเพื่อทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน
ด้วยเหตุนี้ จึงมั่นใจว่า ทำไม่ได้หรอก เพราะรัฐบาลนี้เริ่มอย่างชัดเจนและมีการหารือประชุมกันอย่างจริงจังในวันที่ 15 ส.ค. ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดไปยังอาคารชินวัตร 3 ซี่งเป็นที่ทำการของพรรคเพื่อไทยชั่วคราว จึงเป็นจุดเริ่มของพรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้ ฉะนั้นอย่าไปคิดอะไรให้มันสับสนอลหม่าน
ส่วนการดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นเย็นนี้ พรรคภูมิใจไทยจะหยิบยกประเด็นอะไรขึ้นมาหารือบ้าง นายอนุทิน ระบุว่า ต้องแล้วแต่เจ้าภาพ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เชิญให้พรรคร่วมไปหารือ จึงคิดว่าท่านคงมีประเด็นอะไรที่อยากจะพูดคุย แต่หากมีประเด็นใดที่สามารถต่อยอดไปในประเด็นอื่น ก็ต้องดูบรรยากาศด้วย ส่วนตัวจึงคิดว่า น่าจะเป็นการพูดคุยอย่างฉันท์ผู้ร่วมงานที่จะเดินหน้าบริหารประเทศร่วมกัน
ส่วนที่จับตาจะพูดคุยเรื่อง ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมกับแก้รัฐธรรมนูญ ที่ยังมีความเห็นแตกต่าง นายอนุทิน ย้ำว่า แต่ละพรรคการเมืองมีเจตนารมณ์และมีหลักข้อคิดต่างๆ ในเรื่องนี้อยู่แล้ว เราก็อาจจะนำเอาขึ้นมาหารือกันว่า แต่ละคนมีความเห็นและมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง เพราะหากกฎหมายสำคัญๆ เข้าไป ควรที่จะมีการหารือกันก่อนจะได้ไม่ขัดแย้งกัน ซึ่งเรื่องสภาก็คือเรื่องของสภา อย่าเอามารวมกับเรื่องรัฐบาล เพราะเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน พวกเราพร้อมที่จะสนับสนุนอยู่แล้ว แต่เรื่องข้อกฎหมายเห็นต่างกันได้ จากนั้นก็ค่อยมาหารือกัน เพื่อแสวงหาความร่วมมือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของพรรคหรือแนวทางที่ยึดถือปฏิบัติกันมา
นายอนุทิน ยังยืนยันต่อว่า เรื่องนี้ไม่มีความขัดแย้งอยู่แล้ว แต่ความเห็นต่างมันต้องมี หากทำงานแล้วไม่เห็นต่างกันเลย ก็จะเดินหน้าทำงานไม่ได้ ต้องฟังแล้วเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนมาเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่เห็นพ้องกันหมด มิเช่นนั้นจะเรียกว่า ฮั้ว