หนุ่ม รปภ. ทำงานจนตาบอด ซ้ำร้ายเจ้าของหมู่บ้านหรู ค้างค่าจ้างกว่า 3 แสนบาท
หนุ่ม รปภ. ทำงานจนตาบอด ซ้ำร้ายเจ้าของหมู่บ้านหรู ค้างค่าจ้างกว่า 3 แสนบาท ลูกสาวสุดช้ำร่ำไห้ขอความเป็นธรรม
22 ต.ค. 2567 ที่สำนักงาน สส.พรรคประชาชน เขต 7 จังหวัดนนทบุรี ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี น.ส.วสิกา (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี ลูกสาว นายชรินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี พาพ่อซึ่งเป็นผู้พิการตาบอด เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ นายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือ ทนายโป้ง สส.พรรคประชาชน หลังทำงานเป็น รปภ. ที่หมู่บ้านดังแห่งหนึ่งย่าน จ.ปทุมธานี
โดยเข้ากะกลางคืนนาน 6 ปีติด จนตาบอด ซ้ำร้ายเจ้าของหมู่บ้านบอกให้ลาออก เพราะไม่มีที่พักอาศัยให้แล้ว และยังค้างค่าจ้างรวมกว่า 3 แสนบาท จึงอยากมาร้องขอความเป็นธรรม เพื่อจะได้นำเงินมารักษาตัว และเก็บไว้ใช้ยามแก่ชรา เนื่องจากไม่สามารถทำงานที่ไหนได้แล้ว
นายชรินทร์ (ผู้เสียหาย) กล่าวว่า ตนเข้าไปทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ให้กับหมู่บ้านชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่จ.ปทุมธานี ซึ่งถือว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีบ้านเรือนกว่า 900 หลังคาเรือน เจ้าของหมู่บ้านค่อนข้างมีฐานะ เข้าไปทำงานตั้งแต่ปี 2562 มีเอกสารตกลงค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท โดยเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ในลักษณะที่เจ้าของหมู่บ้านจ้างเอง ไม่ใช่เป็นของบริษัท
ปรากฏว่า ตั้งแต่ทำงานมานายจ้างไม่เคยจ่ายค่าจ้างให้เต็มจำนวน จนกระทั่งปี 2564 ด้วยความที่ตนเข้ากะกลางคืนตลอด รวมถึงตาที่เป็นต้อหินอยู่แล้ว ทำให้ประสบปัญหาตาพร่ามัว และบอดสนิท 1 ข้าง ซึ่งขณะนั้นก็พยายามขอเงินค่าจ้างเพื่อไปรักษา ตอนนั้นเจ้าของหมู่บ้านติดเงินตนเองไว้ 70,000 บาท แต่เจ้าของหมู่บ้านบอกว่าจะทยอยจ่ายให้หลังจากลูกบ้านจ่ายค่าส่วนกลางแล้ว แต่ก็ไม่ได้
แต่ละเดือนจะได้เงินเป็นบางส่วน เช่น 5,000 บาท 3,000 บาท 1,500 บาท ซึ่งไม่เคยมีเดือนไหนที่ได้เต็ม จำนวน 15,000 บาท นายชรินทร์ ผู้เสียหาย กล่าวต่ออีกว่า ส่วนเหตุผลที่ตัดสินใจทำงานต่อไป เพราะหวังว่าจะได้เงินจากการทำงานคืน เพราะถ้าไม่ทำต่อ ก็จะไม่ได้เงิน เหมือนที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นลาออกไป จึงอดทนทำงานไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง เดือน ส.ค. ปี 2567 ที่ผ่านมา เจ้าของหมู่บ้านได้มาแจ้งให้ตนออกจากงาน เนื่องจากที่พักอาศัยที่เคยให้พักอาศัยภายในหมู่บ้าน ไม่สามารถพักอาศัยได้แล้ว ตนก็ยินดีที่จะออกจากงาน แต่เจ้าของหมู่บ้านติดเงินค่าจ้างตนไว้จำนวน 378,407 บาท จึงได้ทวงถามและขอเงินคืน เพื่อที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่เจ้าของหมู่บ้านบอกว่าจะจ่ายให้ 20,000 บาทก่อน และขอทยอยจ่ายเดือนละ 5,000 บาท จนถึงปัจจุบัน ตนได้เงินจากเจ้าของหมู่บ้านมาเพียง 19,500 บาทเท่านั้น วันนี้ (22 ต.ค. 2567) จึงเดินทางมาร้องสื่ออยากให้ช่วยเหลือตน เพราะอดทนทำงานจนเสียตาไปแล้ว 1 ข้าง และอีกข้างนึงก็กำลังจะบอดตาม ต้องหาเงินรักษาดวงตา อยากให้เจ้าของหมู่บ้านใช้เงินคืน และไม่ใช่แค่ตน พนักงานรักษาความปลอดภัยคนอื่น ก็โดนด้วยเช่นกัน
น.ส.วสิกา (ลูกสาวผู้เสียหาย) เผยว่า พอตนทราบเรื่องว่า พ่อถูกโกงค่าแรงจากการทำงานก็เคยเตือนพ่อแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่พ่อทำงานใหม่ๆ แต่ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ และฐานะที่มั่นคงของเจ้าของหมู่บ้าน ทำให้พ่ออดทนทำงาน แล้วหวังว่าจะได้เงินคืนมาโดยตลอด และเหตุการณ์ล่าสุดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เจ้าของหมู่บ้านบอกให้พ่อลาออกเพราะไม่มีที่พักอาศัยให้แล้ว ตนจึงได้พาพ่อเข้าไปพูดคุยกับเจ้าของหมู่บ้าน ที่เป็นผู้ว่าจ้างงานพ่อ
ปรากฏว่าเจ้าของหมู่บ้าน ก็ยอมรับว่าติดเงินค่าจ้างพ่อรวมแล้ว 3 แสนกว่าบาทจริง และ บอกกับตนว่าจะทยอยจ่ายเงินให้ทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท ปรากฏว่าจนถึงตอนนี้ก็ไม่ยอมจ่าย ทั้งที่ตนก็เห็นว่าเจ้าของหมู่บ้าน ดูภูมิฐาน แต่งตัวดี ขับรถหรู เป็นถึงระดับคนรวย แต่เหตุใดไม่ยอมใช้เงินพ่อตน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นผู้พิการตาบอด 1 ข้างไปแล้ว
น.ส.วสิกา ยังกล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนรู้สึกเสียใจที่พ่อซึ่งเป็นผู้การตาบอด ถูกคนรวยเอาเปรียบ และตนทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากพาพ่อไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ด้านทนายโป้ง กล่าวว่า จากการดูข้อมูลหลักฐาน ผู้เสียหายมีทั้งเอกสารรับรองการทำงาน และหลักฐานการพูดคุยผ่านทางแชท กับนิติบุคคลของหมูบ้าน เรื่องการทวงถามเงินเดือน ก็ทำให้เห็นชัดว่ามีการจ้างงานผู้เสียหายในชื่อของบริษัทดังกล่าวจริง
แต่รูปแบบของการจ้างงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ไม่มีประกันสังคม ไม่ระบุสวัสดิการ ถือเป็นลูกจ้างนอกระบบ ซึ่งเรื่องนี้ผู้เสียหาย สามารถนำหลักฐานที่มีอยู่ไปแสดงต่อสำนักงานแรงงาน ในพื้นที่ที่มีการจ้างงานได้ทันที ซึ่งนายจ้างที่ไม่จ่ายค่าจ้างจะมีโทษทั้งจำคุกทั้งปรับ นอกจากนี้ลูกจ้างที่ถูกบอกเลิกจ้างกะทันหันก็มีสิทธิ์ที่จะรับเงินชดเชยตามกฎหมายอีกด้วย