รวมคดีเขย่าการเมืองไทย 2567 ปีงูใหญ่ดุ กัดจมเขี้ยว รัดแรง
รวมคดีสะเทือนการเมืองไทย ปี 2567 มะโรงกัดจมเขี้ยว รัดแรง หลากหลายสถานการณ์ ทำหมัน แช่แข็ง จุดพลิกผันการเมือง สู่รัฐบาลแพทองธาร
ปี 2567 งูใหญ่ฟาดฟันการเมืองสาหัสหนักหน่วง เป็นปีแห่งการทำหมัน แช่แข็ง เกิดจุดเปลี่ยน จุดพลิกผันการเมืองไทย
ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยคดีการเมืองไทยหลายคดี มีทั้งเป็นไปตามคาด และคาดไม่ถึง
คดียุบพรรคก้าวไกล
7 ส.ค.2567 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล โดยมีมติเอกฉันท์ และ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่ดำรงตำแห่ง ระหว่าง 24 มี.ค.2564 - 31ม.ค. 2567 กำหนด 10 ปี ห้ามจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่กำหนด 10 ปี
เป็นไปตามคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ยื่นคำร้องกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครอง และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
โดยคำร้องดังกล่าวเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นมติเอกฉันท์ ในวันที่ 31 ม.ค.2567 ว่าการที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคในขณะนั้น และพรรคก้าวไกล เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ.เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง
โดยศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย ว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย ที่ 3/2567 แล้ว เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ผู้ถูกร้องมีเจตจาบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าลักษณะการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย
ผู้ถูกร้องและสมาชิกพรรค เสนอแก้ไข มาตรา 112 ลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และหาเสียง ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ ใช้ประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์หวังให้ชนะการเลือกตั้ง ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตีติเตียน ทำร้ายจิตใจของชาวไทยที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
จึงเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพัน รัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรค4 การยุบพรรคการเมืองจึงต้องเคร่งครัดระมัดระวัง
หากย้อนปฐมบทแห่งคดี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2566 โดยวันที่ 30 พ.ค.2566 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร อดีตทนายความของอดีตพระพุทธอิสระ ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ว่าการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เข้าข่ายปฏิปักษ์ต่อการปกครอง เพื่อขอให้อัยการสูงสุด ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำของนายพิธา และพรรคก้าวไกล
ต่อมา วันที่ 16 มิ.ย. 2566 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร ยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยสั่งให้ นายพิธา และพรรคก้าวไกล เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2566
กระทั่ง วันที่ 31 ม.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 3/2567 โดยมีมติเอกฉันท์ ว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ
จากนั้น วันที่ 1 ก.พ. 2567 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ขอให้ กกต.พิจารณาส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคก้าวไกล ในประเด็นเดียวกัน
วันที่ 12 มี.ค. 2567 กกต.มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยุบพรรคก้าวไกล จากนั้น วันที่ 3 เม.ย. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต. โดยให้พรรคก้าวไกลยื่นคำร้องชี้แจง
เมื่อคดีใกล้งวด วันที่ 9 มิ.ย.2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แถลง 9 ข้อต่อสู้ ในคดียุบพรรคก้าวไกล สรุปดังนี้
- การวินิจฉัยคดียุบพรรคไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
- การยื่นคำร้องในคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลไม่มีผลผูกพันในการวินิจฉัยคดีนี้
- นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไข ม.112 แล้ว การกระทำอื่นๆ ตามคำร้องไม่ได้เป็นการกระทำของพรรค
- การกระทำที่ กกต.กล่าวหาไม่เป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
- ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล โทษยุบพรรคต้องให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ ของพรรคการเมือง และเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉิน ฉันพลัน ไม่มีทางอื่นแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย
- แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค
- การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ต้องพอสมควรแก่เหตุ ไม่เกิน 5 ปี
- การเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
จากนั้น วันที่ 2 ส.ค. 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ นายชัยธวัช ตุลาธน แถลงปิดคดียุบพรรคก้าวไกล เป็นครั้งสุดท้าย
กระทั่ง วันที่ 7 ส.ค. 2567ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี
กำเนิดพรรคประชาชน
ห้วงเวลาการชี้ชะตาพรรคก้าวไกล มีกระแสสะพัดว่า สมาชิกพรรคเตรียมเทคโอเวอร์ ย้ายรังใหม่ ไปอยู่พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล โดยในตอนแรกมีชื่อ ไหม ศิริกัญญา ตันสกุล เป็นตัวเต็งผู้นำหญิงรุ่นใหม่
และภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลเดินเกมเร็ว คล้ายวางแผนรับมือกับสถานการณ์อยู่แล้ว โดยวันที่ 9 ส.ค. 2567 เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้รับเลือกเป็นผู้นำคนใหม่ เปิดตัวบ้านหลังใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) โดยเปลี่ยนชื่อมาจาก พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล
"เศรษฐา - ครม." พ้นจากตำแหน่ง
อีกคดีที่เป็น จุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมือง โค่นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 )
ในคดีที่ 40 สว. ยื่นคำร้องผ่าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เมื่อ 15 พ.ค.2567 ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 หลังพบว่ามีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นที่ว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
กรณีกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯเสนอชื่อ นายพิชิต ชื่นบาน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่เคยต้องคดีจำคุก 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีถุงขนม 2 ล้านบาท ทั้งที่รู้ หรือ ควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ โดยคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2567
อย่างไรก็ดี พบว่า นายพิชิต ชื่นบาน สยบปมร้อนด้วยการชิงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 24 วัน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งรับคำร้องและมีคำวินิจฉัย
23 พ.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ มี มติ 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในส่วนของนายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 แต่ไม่รับคำร้องในส่วนของนายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เนื่องจากลาออกจากตำแหน่งแล้ว
โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายเศรษฐา รู้หรือควรรู้คุณสมบัติของนายพิชิต ก่อนการแต่งตั้ง แต่ยังคงเสนอทูลเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมปฏิบัติไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติเรื่องความซื่อสัตย์ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง การกระทำเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของนายกฯ เพราะการแต่งตั้งต้องใช้วิจารณญาณ การที่อ้างว่าไม่มีความรู้ทางรัฐศาสตร์ เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีมติ 5 ต่อ 4 เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเนื่องจากไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสิ้นสุดลง รัฐมนตรีจึงต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
ปิดฉาก บทบาทนายกรัฐมนตรี 84 วัน ของ นายเศรษฐา ทวีสิน ในทันที
แพทองธาร นายกรัฐมนตรี คนที่ 31
พลันที่ นายเศรษฐา พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พบว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดินเกมเร็ว ไม่ทอดเวลาให้ยืดเยื้อยาวนาน
เย็นวันที่ 15 ส.ค.2567 แกนนำจาก 11 พรรคร่วมรัฐบาล ประชุมกันที่ชั้น 9 อาคารชินวัตร 3 นำโดย นายภูมิธรรม เวชชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี , นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย , นายอนุทิน ชาญชีวรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย , นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ,
นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ , พ.ต.อ.เอก ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ , นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา , นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนากล้า , พรรคเพื่อไทยรวมพลัง , พรรคเสรีรวมไทย , พรรคท้องที่ไทย , พรรคพลังสังคมใหม่ จากนั้นทั้งหมด ร่วมกันแถลงข่าว การเสนอรายชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียว เข้าโหวตในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ในวันที่ 16 ส.ค. 2567
กระทั่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 16 ธ.ค. 2567 โหวตเห็นชอบ 319 : 145 เสียง งดออกเสียง 27 คน ให้ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31
------------------
ร่วมเสนอชื่อ "คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 21" (18.12.2024 - 09.01.25)
• FB : คมชัดลึก อวอร์ด (komchadluek award) https://www.facebook.com/KomChadLuekAward/
• Web : คมชัดลึก (http://awards.komchadluek.net)