ไทยจะเป็นศูนย์กลางตลาดคริปโตได้หรือไม่ ?
ประเทศไทยมีโอกาสชนะในศึกครั้งนี้หรือไม่ ? เรื่องของในอนาคตนั้นไม่สามารถฟันธงได้เช่นเดียวกับการคาดการณ์ราคาบิทคอยน์ในอนาคต
ตลาดคริปโตในไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมไปถึงการตื่นตัวของ ก.ล.ต. ที่มีต่อสกุลเงินดิจิทัลภายในประเทศ ที่ได้ออกมารองรับ หรือปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับนักลงทุนในชาติ เพื่อที่ว่าในอนาคตคนไทยจะมีการซื้อขายผ่านคริปโตที่มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน และปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยเหมือนจะเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่มีการตื่นตัวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลนี้อย่างรวดเร็วกว่าประเทศอื่น สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของ ก.ล.ต. รวมไปถึงครั้งล่าสุดที่เปิดให้นักลงทุนเข้ามาแสดงความคิดเห็นบนหน้าเว็บไซต์หลังจากที่สหรัฐได้มีการรองรับ ETF หลายรายการ
ไม่เพียงเท่านั้น นักลงทุนชาวไทยต่างสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย และหลาย ๆ แพลตฟอร์มเองก็รองรับการใช้งานภาษาไทยด้วย ตามที่ สมชัย วัง ได้กล่าวว่า Pionex ให้การสนับสนุนลูกค้าที่ดีเยี่ยมและมีความปลอดภัยสูง การพูดคุยเกี่ยวกับบอทซื้อขายก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน ซึ่งสามารถดูรีวิว Pionex หรือรีวิวแพลตฟอร์มอื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ต และบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องได้
แล้วในแง่ของการเป็นคริปโตฮับของเอเชียนั้น ประเทศไทยจะสามารถทำได้หรือไม่ คงต้องบอกว่ามีหลายปัจจัยอย่างมากที่จะช่วยให้ไทยนั้นเป็นศูนย์กลางของตลาดคริปโต และเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย ในขณะที่หลายประเทศอย่าง ฮ่องกง ไต้หวัน หรือสิงคโปร์ต่างพากันแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อที่จะชิงความเป็นฮับของตลาดสกุลเงินดิจิทัลนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ซบเซาจากพิษของโควิดที่ผ่านมา หรือโอกาสในการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศ ล้วนแล้วเป็นเหตุผลของการกระตือรือร้นในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างมาก
แล้วประเทศไทยมีโอกาสชนะในศึกครั้งนี้หรือไม่ ? เรื่องของในอนาคตนั้นไม่สามารถฟันธงได้เช่นเดียวกับการคาดการณ์ราคาบิทคอยน์ในอนาคต แต่อย่างไรแล้วประเทศไทยเองก็มีข้อได้เปรียบที่จะชิงความเป็นศูนย์กลางของเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับเอเชียอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน โดยนายชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทยได้ระบุว่าข้อได้เปรียบของไทยมีทั้งหมด 5 ข้อดังต่อไปนี้
- โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินที่แข็งแกร่งตลาดทุนมีสภาพคล่องสูงและบริษัทจดทะเบียนมีการบริหารเพื่อความยั่งยืนทำให้เหมาะที่จะทำการลงทุนระยะยาวได้
- ความพร้อมของคนไทยในการใช้บริการด้าน Fintech ทั้งบริการที่มีอยู่เดิมและบริการที่คิดคันขึ้นมาใหม่เพราะปัจจุบันคนไทยเองก็อยู่ในสังคมไร้เงินสด และพร้อมที่จะรับการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
- ทำเลที่ตั้งของกรุงเทพที่เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคและมีเชียงใหม่กับภูเก็ตเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลกันเข้ามา ซึ่งเชื่อได้ว่าหากเปิดกว้างสำหรับคริปโตจะมีนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น
- ความหลากหลายของการใช้ชีวิตในวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งรองรับทั้งการทำงานและการพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งมีอิสระและยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตสำหรับคนทั่วโลก
- ความเป็นไทยที่เข้าได้กับทุกฝ่ายประสานงานกับชาติไหนก็ได้ลดความเสี่ยงด้าน Geopoltical Risk ทำให้ป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง พร้อมกับการเคลื่อนไหวของ ก.ล.ต.ไทยที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล
และอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญก็คือจากสถิติในปี 2022 ที่ผ่านมาได้ระบุว่า คนไทยถือครอบคริปโตมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นอัตราส่วน 20.1% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอายุ 16-64 ปี ซึ่งคำนวณออกมาเป็นทั้งหมด 7.1 ล้านคน และยังมากกว่าบัญชีที่ปรากฎในกระดานเทรดของไทยมากถึง 2.6 เท่าเลยทีเดียว และหากแยกย่อยลงไปอีกแล้ว คนไทยมีการถือครอบ NFT มากถึง 5.65 ล้านคนอีกด้วย
แต่อย่างไรแล้ว ปัจจัยที่จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของตลาดคริปโตนั้นไม่ได้มีเพียงความสะดวก และการใช้ชีวิตที่เอื้อเฟื้อต่อคนหลาย ๆ ชาติเท่านั้น แต่ยังมีเหตุการณ์อื่นที่จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาด้วย เช่น ความโปร่งใสของเศรษฐกิจ ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ รวมไปถึงคดีความฉ้อโกงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของสังคมโลก ยกตัวอย่างเช่นคดีความที่โด่งดังอย่างธุรกิจดิไอคอน ที่ทำให้ Binance ชี้แจ้งปมโอนคริปโต 8 พันล้านหลังจากตรวจพบการทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว แม้ประเทศไทยจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในแง่ของการเงินและธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเงินของไทยนั้นก็ล้วนแต่ส่งผลต่อการพิจารณาทั้งสิ้น ทั้งนี้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางระดับเอเชียแล้วล่ะก็ จะต้องมีคำอธิบายในคดีความต่าง ๆ อย่างชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าตลาดคริปโตในไทยนั้นเป็นไปตามกลไกและมีหลักเกณฑ์ในการจัดระเบียบด้วยความเท่าเทียม